โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

Ethnocentrism: เมื่อการเอาวัฒนธรรมตัวเองเป็นศูนย์กลางความคิด อาจเป็นบ่อเกิดความเกลียดชัง

The MATTER

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Social

ภาษาเส้นมาม่า ประเทศที่กินแต่ของดิบ สาธารณรัฐกล้วย (Banana republic) ฯลฯ

ความขัดแย้งจากความไม่เข้าใจวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่เรามักเห็นกันได้บ่อยๆ บนโลกอินเทอร์เน็ต หรือแม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน บางทีเราอาจเผลอตัดสินวัฒนธรรมของคนอื่นโดยใช้ความเคยชินของตัวเองเป็นไม้บรรทัด ไม่ว่าจะเป็น อาหารที่ไม่คุ้นเคย เสื้อผ้าที่ดูแปลกตา สำเนียงภาษา หรือความเชื่อที่ต่างออกไป

แม้ดูเผินๆ อาจเหมือนไม่มีปัญหาอะไร เพราะทุกคนย่อมรู้สึกสบายใจกับสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคยมากกว่าอยู่แล้ว แต่การยกย่องวัฒนธรรมของตัวเองอย่างเข้มข้น อย่างแนวคิด ‘Ethnocentrism’ หรือการเอาวัฒนธรรมตัวเองเป็นศูนย์กลาง ก็อาจนำมาสู่ความเกลียดชัง จนกลายเป็นสงครามระหว่างเชื้อชาติเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก็ได้

Ethnocentrism คืออะไร ทำไมจึงสร้างผลกระทบในใจของผู้คนได้อย่างใหญ่หลวง เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นซ้ำอีก จะมีทางไหนที่เราจะหลีกเลี่ยงอคติเหล่านี้ได้บ้าง

อคติจากการมองว่าวัฒนธรรมตัวเองสูงส่งกว่าใคร

เคยรู้สึกหรือเปล่าว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่สบายเหมือนบ้านเรา ทั้งนิสัยใจคอของผู้คน หรืออาหารก็ถูกปากกว่าที่ไหนๆ อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากเราจะรู้สึกสบายใจกับสังคมที่เราเติบโตมามากกว่า เพราะเราคุ้นชินกับวัฒนธรรมนี้มาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้คุ้นเคยและปรับตัวง่ายได้ไม่ยาก

อันที่จริงแล้วการที่เราชื่นชมวัฒนธรรมตัวเอง ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร แถมยังเป็นเรื่องดีที่ทำให้เราเข้าใจความเป็นมาของตัวเองด้วยซ้ำ แต่มันอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ หากเราเชิดชูวัฒนธรรมตัวเอง จนเผลอไปดูถูกวัฒนธรรมของคนอื่นเข้า ซึ่งนั่นอาจถูกมองว่าเป็น ‘Ethnocentrism’ หรือ ‘อัตตนิยมวัฒนธรรม’ ที่หมายถึงการเอาชาติพันธุ์ตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสามารถนำไปสู่การเหยียดเชื้อชาติได้

ก่อนไปถึงผลกระทบของแนวคิดนี้ ก่อนอื่นเราอยากชวนมารู้จักคำนี้กันก่อน 'Ethnocentrism’ เป็นหนึ่งในแนวคิดด้านจิตวิทยาและมนุษยศาสตร์ หมายถึงคนที่มักคิดว่าวัฒนธรรมของตัวเองดีกว่าคนอื่น โดยใช้ค่านิยมของตัวเองไปตัดสินว่าวัฒนธรรมที่ต่างไปจากของตัวเองเป็นเรื่องไม่ดี เพราะความเคยชินของตัวเอง

ความคิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ได้จำกัดอยู่ในวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง ตัวอย่างที่อาจพบได้บ่อยๆ อย่าง การวิจารณ์เรื่องพฤติกรรมการกิน เช่น ชาวอเมริกันส่วนใหญ่รู้สึกไม่ชอบใจที่ชาวเปรูนิยมกินหนูตะเภา คนไทยที่โดนดูถูกเรื่องการกินปลาร้า หรือคนฝรั่งเศสถูกหัวเราะเพราะกินหอยทาก ทั้งที่อาหารเหล่านี้มีคนที่กินกันเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ยังอาจเห็นได้จากการวิจารณ์เรื่องภาษา เช่น ชาวตะวันตกที่ใช้ภาษาอังกฤษแสดงท่าทีไม่พอใจต่อคนที่ไม่พูดภาษาอังกฤษเพราะคิดว่าทุกคนควรพูดภาษาอังกฤษได้

ทั้งอาหารและภาษาที่ยกตัวอย่างมาถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ซึ่งผูกติดกับอัตลักษณ์และตัวตนของคนในสังคมนั้นๆ การดูถูกอาหารการกิน พฤติกรรม หรือภาษา จึงไม่ต่างจากการวิจารณ์ตัวตนของคนนั้นไปด้วย

จากงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของแนวคิด Ethnocentrism ในปี 2019 พบว่ามีแนวคิดนี้สร้างผลเชิงลบ จากการเชื่อว่าวัฒนธรรมตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น โดยคนที่ยึดถือแนวคิดนี้มักมีแนวโน้มประเมินและตัดสินวัฒนธรรมอื่นตามมาตรฐานของตัวเอง นั่นคือหากไม่ใช่คนในวัฒนธรรมเดียวกัน ก็มักถูกตัดสินว่าแย่กว่า หรือด้อยกว่าตัวเอง จนไม่เปิดใจรับความแตกต่างของคนอื่นๆ และสุดท้ายส่งผลเสียต่อการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม นั่นคือหากต้องอยู่ร่วมกับคนที่มาจากพื้นที่อื่น ก็อาจเกิดความไม่ลงรอยกัน ไม่สามารถพูดคุยและทำความเข้าใจกันได้ เนื่องจากอคติของตัวเอง

แม้ว่าผลจาก Ethnocentrism จะไม่ได้เป็นการเหยียดเชื้อชาติโดยตรง แต่การไม่ยอมรับความแตกต่างของวัฒนธรรมอื่น ก็มักนำพามาสู่พฤติกรรมการดูถูก ล้อเลียน หรือเหยียดหยาม ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกปฏิบัติ เช่น ไม่ยอมให้ใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกัน การไม่ให้ความช่วยเหลือ หรือพูดจาแย่ๆ ใส่อีกฝ่าย และอาจเลวร้ายไปกว่านั้น คือการยัดเยียดวัฒนธรรมตัวเองให้กลุ่มอื่น อย่างยุคล่าอาณานิคม ไปจนถึงการสังหารหมู่ชาวยิวของกลุ่มนาซี อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

เลี่ยงได้ไหมการมองวัฒนธรรมตัวเองเป็นศูนย์กลาง

อย่างที่บอกว่าการมองวัฒนธรรมของตัวเองเหนือกว่าคนอื่นเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง และกลายเป็นบ่อเกิดของความเกลียดชังที่ส่งต่อกันในสังคม การหลีกเลี่ยงไม่ให้มีความคิดนี้จึงเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา เพื่อให้เรามีอยู่ในสังคมที่สงบสุข

อย่างไรก็ตาม การจะสลัดเอาอคติด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรมออกไปจากมนุษย์ อาจไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เพราะจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมากเพื่อให้เราหลุดพ้นจากอคตินี้ ซึ่งว่ากันตรงๆ แล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะการรับรู้ของมนุษย์มีอยู่อย่างจำกัด

จากการศึกษาเรื่อง Some Myths About Ethnocentrism อธิบายว่า มนุษย์ปถุชนอย่างเราๆ แทบจะหลีกหนีการมองโลกแบบ ethnocentrism ไปไม่ได้ เพราะเรายังต้องใช้ประสบการณ์และวัฒนธรรมในการตีความสิ่งต่างๆ อยู่ การหลีกเลี่ยงความคิดเหมารวมเหล่านี้ จึงหมายถึงเราต้องมีคลังข้อมูลที่ไร้ขอบเขตทั้งด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยที่เราไม่ยึดโยงกับวัฒนธรรมใดเลย เพื่อนำมาใช้ตีความโดยไม่มีอคติ

แต่เพราะเราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ และไม่ว่ายังไงมนุษย์ก็ยังต้องการใช้เหตุผลมาอธิบายสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ สุดท้ายจึงเลี่ยงไม่ได้ที่เราต้องหยิบประสบการณ์เดิม หรือความคุ้นเคยของเรามาตัดสินสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน

ในการศึกษานี้ก็ได้ยกตัวอย่าง เช่น ชนเผ่าที่ไม่เคยติดต่อกับโลกภายนอก พบเห็นเครื่องบิน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ทำให้พวกเขาต้องใช้ความรู้เดิม ตีความว่าเครื่องบินนั้นคือเทพเจ้านกตามตำนานท้องถิ่น เพราะพวกเขาไม่มีแนวคิดเรื่องเครื่องบินอยู่ในวัฒนธรรม จึงทำให้ไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นไปได้

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้มันจะดูเป็นเรื่องสมเหตุสมผลสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เพราะข้อจำกัดของการรับรู้โลกภายนอก จึงทำให้เราเผลอตีความจากอคติของตัวเอง เรียกได้ว่าบางครั้งพวกเขา หรือเรา ต่างก็ยังต้องมีแนวคิดการเอาวัฒนธรรมตัวเองเป็นศูนย์กลางอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรจำนนต่ออคติ แม้เราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด คือการไม่พยายามสร้างความเกลียดชังต่อ หรือไม่ด่วนตัดสินใจเร็วเกินไป ด้วยวิธีดังนี้

ให้ความรู้ตัวเอง: หากเราต้องไปต่างประเทศ หรืออยู่ในคอมมูนิตี้ที่มีคนต่างเชื้อชาติ อย่าลืมเรียนรู้วัฒนธรรมของคนในพื้นที่นั้นให้ดีก่อนออกเดินทาง เช่น เราอาจลองหาข้อมูลเบื้องต้นสักหน่อยว่า นิสัยใจคอเขาเป็นยังไง มีวัฒนธรรมอะไรที่ต่างจากเราบ้าง อาหารส่วนใหญ่หน้าตาเป็นแบบไหน หรือปฏิบัติตัวต่อกันอย่างไร เพราะการทำความเข้าใจอีกฝ่าย จะช่วยให้เราสามารถมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างเป็นกลางมากขึ้น คาดหวังความแตกต่าง: แน่นอนว่าการได้เห็นวัฒนธรรมอื่นๆ อาจทำให้เราเกิดอาการคัลเจอร์ช็อกขึ้นมาได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้นหากเราเจอสิ่งที่ต่างไปจากวัฒนธรรมของตัวเอง เช่น ใช้มือเวลาทานข้าว แบ่งจ่ายค่าอาหารกันเอง หรือให้คุณค่ากับความเป็นส่วนตัว ก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าไปว่าเป็นสิ่งไม่ดี เพราะนี่อาจเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ลองเรียนรู้วัฒนธรรมอื่น ซึ่งอาจทำให้เราเข้าใจโลกในมุมมองใหม่ก็ได้ มีความเห็นอกเห็นใจ: แม้ว่าเราจะอาจเจอเหตุการณ์ที่ไม่น่าประทับใจ เพราะขัดจากความคุ้นเคยของเรา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนไม่ดี เพียงแต่เขาอาจทำสิ่งที่ยอมรับกันในกลุ่มวัฒนธรรมนั้นต่างจากเราเท่านั้น เช่น การไม่ยิ้มแย้ม การพูดแบบอ้อมค้อม หรือการเอาจริงเอาจังจนเคร่งเครียดตลอดเวลา ซึ่งหากเราพบเจอก็อาจลองพูดคุยแลกเปลี่ยน หรือทำความเข้าใจเหตุผลของอีกฝ่ายก่อนด่วนตัดสินใจ สร้างความสัมพันธ์กับคนให้หลากหลาย: สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากอคติการเหมารวมวัฒนธรรมอื่นได้บ้าง คือการออกไปสัมผัสวัฒนธรรมใหม่ๆ และอยู่ในชุมชนที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การออกไปทำกิจกรรมอาสา หรือการเรียนภาษาใหม่ๆ เพราะเมื่อเราคุ้นเคยกับคนต่างวัฒนธรรมมากขึ้น ก็จะช่วยลดกำแพงในใจ มองผู้คนในวัฒนธรรมอื่นๆ แบบใกล้ชิดมากขึ้น และเห็นว่าทุกคนต่างก็มีความต้องการพื้นฐานไม่ต่างกัน เพียงแค่มีมุมมองต่อโลกที่ต่างจากเราไปบ้างเท่านั้นเอง

สุดท้ายคงไม่ผิดหากเราจะรู้สึกภูมิใจในวัฒนธรรมของตัวเอง แต่บนโลกอันกว้างใหญ่ก็ยังมีคนที่มีความคิด ความเชื่อ และวิถีชีวิตที่ต่างจากเราอยู่ด้วย และพวกเขาก็รู้สึกภูมิใจรากเหง้าของตัวเองไม่ต่างจากกัน ดังนั้น การยกย่องว่าวัฒนธรรมไหนดีกว่า แล้วกำจัดวัฒนธรรมที่ถูกมองว่าด้อยกว่าอาจยิ่งทำให้ความขัดแย้งเพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิม แต่เพื่อให้ความแตกต่างเหล่านี้ยังสามารถอยู่ร่วมกันได้ การเคารพซึ่งกันและกันจึงอาจเป็นวิธีที่ดีกว่า

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความเราจำเป็นต้องยอมรับทุกวัฒนธรรมที่โหดร้ายอย่าง การแต่งงานกับเด็ก หรือการคลุมถุงชน เพราะการอ้างความแตกต่างทางวัฒนธรรมอาจยิ่งตอกย้ำให้สิ่งเหล่านี้ยังดำเนินอยู่ต่อไป ทั้งที่มีคนที่เจ็บปวดจากวัฒนธรรมเหล่านี้อยู่จริงอย่างเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้นสิ่งที่เราพอทำได้ อย่างน้อยที่สุดก็คงเป็นการไม่ด่วนตัดสินใจจากความเคยชินของตัวเอง และมองทุกคนอย่างเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อไม่ต่างไปจากเรา

อ้างอิงจาก

blog.globalbrigades.org

moderndiplomacy.eu

researchgate.net

simplypsychology.org

silpa-mag.com

tandfonline.com

Graphic Designer: Sutanya Phattanasitubon
Editorial Staff: Paranee Srikham

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The MATTER

ไอซ์–รักชนก ตั้งคำถามการคอร์รัปชัน หลัง สตง.คว้าอันดับ 1 รางวัลคุณธรรมและความโปร่งใส

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

จากโซเชียลมีเดีย ถึงพจนานุกรม ‘Skibidi-Delulu’ เพิ่มใน Cambridge Dictionary อย่างเป็นทางการ

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

“โรม” จี้ยกระดับปราบ “ฮุน เซน” ฟ้องศาล ICC

สำนักข่าวไทย Online

“จตุพร” สั่งเปิดโรงงานรับซื้อข้าวโพดศุกร์นี้ ยันราคา 7.05-9.80 บ/กก.

สำนักข่าวไทย Online

ดอลลาร์แข็งค่า จับตาการประชุมประจำปีเฟด

ประชาชาติธุรกิจ

ป้าสู้ชีวิต เปิดร้านขายขนมจีน 10 บาท ลูกค้าอุดหนุนแน่น

สำนักข่าวไทย Online
วิดีโอ

บทเรียนการเมืองไทยต้องอยู่ข้าง “รัฐประหาร” | คมชัดลึก | NationTV 22

NATIONTV

จากเสียงปืนสู่บาดแผลใจ วิกฤตสุขภาพจิตประชาชน-เจ้าหน้าที่ ชายแดนไทย-กัมพูชา

THE STANDARD

ศาลทุจริตฯ พิพากษาจำคุก "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" 8 ปี คดีโฉนดปลอมที่ดินสระบุรี

The Better

อุทาหรณ์! หญิงสาวผลักประตูห้าง กระจกแตกทั้งบาน นักวิชาการชี้ “กระจกเทมเปอร์” อาจแตกเองได้ (ชมคลิป)

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

วัดในฐานะ ‘สถานชีวาภิบาล’ ทางเลือกของผู้ป่วย หรือช่องโหว่ของระบบสุขภาพไทย?

The MATTER

ก่อนโลกนี้จะมีนาฬิกา หมุนเข็มทวนย้อนเวลา สำรวจเส้นทางกว่ามนุษย์จะมีเวลาอยู่บนข้อมือ

The MATTER

สื่อสารเพื่อสันติ ไม่ใช่เพื่อยอดวิว มองบทบาทสื่อและอินฟลูฯ ในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา กับ อ.สมัชชา นิลปัทม์

The MATTER
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...