‘เท้ง’ ติงม็อบ! ยึดมั่นในหลักการ ห้ามเอากระบวนการนอกระบบ เปิดช่อง ‘รัฐประหาร’
"เท้ง" ติงม็อบ! ยึดมั่นในหลักการ ห้ามเอากระบวนการนอกระบบ เปิดช่อง "รัฐประหาร" ชี้รัฐบาลอ่อนแอ"ฮุน เซน" แบล็คเมล
วันนี้ (30 มิ.ย.) ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมในการเปิดสมัยประชุมสภาของฝ่ายค้าน ว่า วันพุธนี้ (3มิ.ย.68) จะมีการประชุมวิปฝ่ายค้านนัดแรกหลังจากเปิดสมัยประชุมสภา จากนั้นจะประชุมหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านในวันพฤหัสบดี (4 มิ.ย.68) ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยกันถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทยจะยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 โดยมีหลายทางเลือกในการใช้กลไกของสภาในการตรวจสอบรัฐบาล
ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าไม่ได้เห็นต่างหรือคัดค้านเรื่องการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่จังหวะการยื่น จะยื่นอย่างไรให้แม่นยำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องประเมินสถานการณ์ทางการเมืองในระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันเอง เช่น ในวันพรุ่งนี้จะมีความชัดเจนเรื่องตัวคดีนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องของ สว. และสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่หรือไม่ ตนคิดว่าสถานการณ์ทางการเมืองตอนนี้ยังมีความไม่แน่นอน พรรคประชาชนยืนยันว่าสิ่งที่อยากเห็นคือการมีรัฐบาลชุดใหม่ ที่สามารถบริหารประเทศ แก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ พร้อมย้ำว่า การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจทำได้แค่เพียงครั้งเดียวต่อสมัยประชุม ดังนั้น หากยื่นตั้งแต่ตอนนี้ จะยื่นอีกต้องรอถึงเดือน ก.ค.ปีหน้า
ส่วนหากยื่นช้าไปจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองก่อนหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้สามารถคิดได้ในมุมกลับ หากยื่นญัตติไป แล้วเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองต่อตัวนายกรัฐมนตรี เราก็ไม่สามารถบอกได้ 100%ในการตีความว่าจะเป็นการเสียของหรือไม่ ดังนั้นในสถานการณ์ตอนนี้ ควรจะประเมินและดูเวลาอีกระยะหนึ่ง ต้องรอความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญและเรื่องอื่นๆ เมื่อถึงเวลาค่อยยื่นอย่างแม่นยำ ตนเชื่อว่าไม่ทำให้เสียเวลาแต่อย่างใด
เมื่อถามว่า ประเมินร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 อย่างไร หากไม่ผ่าน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า งบประมาณก็เป็นกฎหมายสำคัญ แต่เชื่อว่าร่างกฎหมายทุกฉบับที่รัฐบาลจะผลักดันหลังจากนี้ มีโอกาสสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้ตลอดเวลา ตราบใดที่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เพราะบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลสามารถส่งข้อเรียกร้องต่างๆได้ทุกครั้ง เนื่องจากเสียงของรัฐบาลเกินจากฝ่ายค้านแค่ 10 เสียงเท่านั้น
เมื่อถามว่า มองความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมที่ออกมาอย่างไร เพราะมีการประเมินว่าสุดท้ายจะนำไปสู่การรัฐประหาร นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สิ่งที่ตนยืนยันคือ ผู้ชุมนุมออกมาเรียกร้องด้วยความบริสุทธิ์ใจ ว่าอยากให้มีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่ก็มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ ลาออกเอง , ถูกกระบวนการนิติสงครามถอดถอน , นายกฯ ตัดสินใจยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ รวมถึงช่องทางที่ไม่เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย เช่นการรัฐประหาร จึงมีความเป็นห่วงว่า อาจจะมีความต้องการของบางกลุ่มบางก้อน ที่ฉกฉวยโอกาสไปเรียกร้องกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญ หรือกระบวนการที่ไม่เป็นไปตามประชาธิปไตย แม้ว่าข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการจะเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก หรือให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวก็ตาม แต่ก็เห็นว่าแกนนำผู้ชุมนุมหลายคนหน้าตาเป็นกลุ่มเดิมๆ ที่เคยเรียกร้องต่อต้านและนำไปสู่การรัฐประหารในอดีต รวมถึงการขึ้นเวทีชุมนุม แม้ไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าไม่ให้มีการรัฐประหาร แต่ก็ไม่ได้พูดอย่างชัดเจนเพียงพอว่า ไม่ได้เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร ยังเปิดช่องอยู่ว่า ถ้าปฏิวัติมาก็ไม่อยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารเท่านั้น ดังนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังทำให้เป็นข้อกังวล ว่าการชุมนุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์แอบแฝงโดยแกนนำอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่ จึงขอสื่อสารกับทุกคนว่า การเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ต้องระวังไม่ให้ถูกเป็นเครื่องมือให้ใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามย้ำว่า การออกมาเคลื่อนไหวดังกล่าว จะเป็นการเข้าทางกัมพูชาหรือไม่ ที่พยายามปลุกปั่นให้เปลี่ยนรัฐบาล นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ถึงจุดนี้ ในเรื่องของความไร้เสถียรภาพหรือความไม่แน่นอนระหว่างไทยกัมพูชาคือการขาดความชัดเจน และขาดประสิทธิภาพในการสื่อสารของรัฐบาล จะเห็นว่าหลายครั้งที่มีการเจรจากัน ทางกัมพูชาจะออกมาสื่อสารก่อนรัฐบาลไทย เพราะฉะนั้น อยู่ที่การวางตัวของนายกรัฐมนตรี ตนย้ำหลายครั้งว่า การเจรจาไม่ว่าจะหน้าบ้านหรือหลังบ้าน การพูดมีหลายช่องทาง หลายวิธี หากนายกรัฐมนตรีวางตัวและบทบาทของตัวเองว่า เป็นผู้นำของรัฐต่อรัฐ บทสนทนาก็จะไม่ออกมาเช่นนี้ แต่พอใช้ความสัมพันธ์แบบครอบครัวต่อครอบครัว บทสนทนาก็เปลี่ยนไปอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ทำให้สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา มาหาประโยชน์จากไทยได้
นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึงผลนิด้าโพล ที่มีประชาชนนิยมให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด ว่า ตนรู้สึกดีใจและขอบคุณประชาชนทุกคนที่มอบความไว้วางใจให้กับตนและพรรคประชาชน ขณะเดียวกันก็ไม่ประมาทและเป็นห่วงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องพูดตามข้อเท็จจริงเสนอว่าคะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีที่ตกลง คือการขาดความเชื่อมั่นของนายกรัฐมนตรี ย่อมส่งผลอีกด้านหนึ่ง ที่ทำให้คะแนนไม่ได้เทมาที่ตนและพรรคประชาชน แต่ยังส่งผลถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนอื่นด้วย เพราะส่วนหนึ่งคือการขาดความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาล ดังนั้น ผลโพลที่ขึ้นมาแม้จะรู้สึกดีใจและขอบคุณ แต่ก็ยังไม่ประมาท และยังเป็นห่วงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่
เมื่อถามว่าผลโพลสะท้อนถึงคะแนนเสียงของพรรคประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ผลโพลมีขึ้นมีลงตลอด ก่อนที่ถึงสนามการเลือกตั้งก็คิดว่าการสื่อสารและการปฎิบัติตัวโดยยืนอยู่บนหลักการ ที่นำเสนอทางออกให้กับสังคม เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน จะนำมาสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคประชาชน จากวันนี้จนถึงวันเลือกตั้ง ผลโพลของใครก็ตามที่ได้ปรับคะแนนนิยมขึ้นมา แต่ละทิ้งหลักการและเลือกที่จะสื่อสารชี้นำสังคมไปทางใดทางหนึ่ง ที่เอาผลประโยชน์ของตัวเองในระยะสั้นเป็นหลัก ชตนเชื่อว่าประชาชนมองออก และไม่ได้หมายความว่าผลโพลนี้จะนำไปสู่การชนะการเลือกตั้งในอนาคต
เมื่อถามว่าผลพวงที่ออกมามีชื่อของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี อันดับสาม มีนัยยะสำคัญอะไรหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่าการสำรวจโพลที่ผ่านมาไม่มีชื่อพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในรายชื่อ ดังนั้น หากดูอย่างผิวเผินตัวเลขที่ขึ้นมา 12% เป็นเพราะพล.อ.ประยุทธ์เพิ่งมาอยู่ในรายชื่อครั้งแรก ขณะเดียวกันมองอีกมุมหนึ่งเป็นเพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ความนิยมของ นายกรัฐมนตรีลดลง จึงสะท้อนไปสู่ความไม่เชื่อมั่นของประชาชนกลุ่มหนึ่ง ที่อยากมีนายกรัฐมนตรีที่เข้มแข็งมาจากทหาร เราต้องพยายามสื่อสารว่า เราไม่อยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำปฏิวัติรัฐประหารเอง รวมถึงการใช้การเมืองนอกระบบ
ดังนั้นในสถานการณ์ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อยากให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในหลักการ ปฏิเสธการปฏิวัติรัฐประหารให้หนักแน่นที่สุด ไม่ควรมีการเปิดช่องในการที่จะเรียกร้องนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารหรือกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญได้
สำหรับโอกาสที่จะสภาจะใช้นายกรัฐมนตรีคนนอก หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองนั้น นายณัฐพงษ์ ตอบคำถามนี้ว่า เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เราไม่อยากเห็น เพราะถือเป็นความเลวร้ายนอกเหนือจากการรัฐประหาร สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ ตนก็มองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะถึงจุดนั้น ฉะนั้นพรรคประชาชน จึงพยายามประเมินสถานการณ์ ตัดสินใจอย่างมีวุฒิภาวะละเอียดรอบคอบ รวมถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ที่พรรคก็ยืนยันว่าจะทำอย่างเต็มที่ แต่ต้องขอประเมินสถานการณ์ที่ถูกต้อง เป็นทางออกให้สังคม ซึ่งจะมีการประชุมร่วมของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งคาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะได้คำตอบ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- 'สมชัย' ชี้ 'ม็อบจุดติด' กลายเป็น 'ม็อบติดไฟ' รุมประณามกวักมือเรียก 'รัฐประหาร'
- 'ภูมิธรรม' รับฟังม็อบรวมพลังฯ ยันรัฐบาลไม่ยอมเสียอธิปไตย
- ม็อบจุดติดแล้ว! ยอดผู้ชุมนุมพุ่งเกินคาด เตือนรัฐบาลระวังหากมีการเคลื่อนขบวน
ติดตามเราได้ที่