ทั่วโลกเกิดอะไรขึ้นบ้างสัปดาห์นี้ 23-28 มิถุนายน
สัปดาห์ที่ผ่านมา การตอบโต้ทางสงครามระหว่างอิสราเอล อิหร่าน และสหรัฐอเมริกาเป็นประเด็นใหญ่ที่ทั่วโลกจับตา แต่ช่วงกลางสัปดาห์ข้อตกลงหยุดยิงก็เกิดขึ้น แม้หลายฝ่ายจะยังไม่มั่นใจกับความร่วมมือนี้เท่าไหร่นัก ในขณะเดียวกัน ฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกาก็ได้จัดประชุมความร่วมมือความมั่นคงทางการเมืองและการทหาร หรือที่เรียกว่าองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) โดยมีข้อตกลงที่จะเพิ่มงบทางการทหารมากขึ้น
นอกไปจากการเมืองแล้ว ฝั่งยุโรปก็มีประเด็นสังคมที่น่าจับตา โดยเฉพาะการจัดงานแต่งงานของมหาเศรษฐีพันล้านอย่างเจฟฟ์ เบซอส เจ้าของ Amazon กับลอเรน ซานเชซ อดีตนักข่าวสถานีโทรทัศน์ จัดขึ้นที่เมืองเวนิช โดยมีแขกสำคัญหลายคน ซึ่งอาจทำให้ลานจอดเครื่องบินของเวนิชแน่นไปด้วยเครื่องบินส่วนตัวของกลุ่ม VIP และท่าน้ำในเวนิชก็อาจเป็นที่จอดเรือยอทช์ส่วนตัวของพวกเขาด้วยเช่นกัน นั่นทำให้ชาวเวนิชแสดงความไม่พอใจที่เศรษฐีพันล้านกำลังทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็น ‘สนามเด็กเล่น’ ของคนรวย ทั้งยังมีผู้ประท้วงบางกลุ่มมองว่า หากเบซอสจัดงานแต่งมูลค่ากว่า 20 ล้านดอลลาร์ได้ ทำไมจะจ่ายภาษีเพิ่มไม่ได้?
เขยิบออกจากอิตาลี ยังมีเหตุการณ์ในฝรั่งเศส เมื่อผู้ชมในเทศกาลดนตรีกว่า 145 คนถูกเข็มฉีดยาจิ้มจนได้รับบาดเจ็บ ตำรวจและเจ้าหน้าที่เมืองกำลังตามสืบสวนผู้ต้องสงสัยและสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว โดยอินฟลูเอนเซอร์ของฝรั่งเศสออกมาโพสต์ลงโซเชียลมีเดียว่า เธอเห็นคนเรียกร้องในโซเชียลมีเดียให้วางยาผู้หญิงในงานเทศกาลดนตรี แต่ตำรวจยังไม่ยืนยันข้อสันนิษฐานนี้
ยังมีข่าวอื่นๆ ในรอบสัปดาห์ให้ติดตามในสรุปข่าวครั้งนี้
United States
ยอดสั่งพิซซ่าใกล้กระทรวงกลาโหมกลายเป็นเครื่องมือทำนายปฏิบัติการทหารของสหรัฐฯ
หนึ่งชั่วโมงก่อนที่อิสราเอลเริ่มโจมตีอิหร่าน อยู่ๆ ก็มีผู้สังเกตว่ายอดสั่งพิซซ่าใกล้กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่บาร์เกย์ใกล้ๆ ก็มีคนเข้า-ออกน้อยผิดปกติ
“เมื่อเวลา 18.59 น. ตามเวลาตะวันออก (ET) ร้านพิซซ่าเกือบทั้งหมดในบริเวณใกล้เพนตากอนมีกิจกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมาก” โพสต์ปรากฏขึ้นในแอคเคาต์ X ชื่อว่า Pentagon Pizza Report พวกเขาโพสต์หลักฐานประกอบด้วยการเสิร์ชชื่อร้านพิซซ่าในกูเกิล ซึ่งจะแสดงให้เห็นความนิยมสูงสุดของร้านเทียบกับความนิยมปกติเป็นรายชั่วโมง
แม้ตอนแรกสหรัฐฯ จะปฏิเสธการร่วมมือกับอิสราเอล แต่ทรัมป์ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ในตอนหลังว่า พวกเขารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น การที่ Pentagon Pizza Report คอยจับตาการเคลื่อนไหว้ร้านพิซซ่าใกล้กระทรวงกลาโหมอยู่เสมอ อาจเป็นเครื่องมือทำนายความเคลื่อนไหวด้านภูมิรัฐศาสตร์และการทหารของสหรัฐฯ ได้ พวกเขาเรียกสถิตินี้ว่า ‘ดัชนีเพนตากอนพิซซ่า’
ภาพจาก: Pentagon Pizza Report
พูดอย่างเข้าใจง่ายคือ ยอดสั่งพิซซ่าที่เพิ่มขึ้นในช่วงกลางคืน อาจบ่งบอกว่าเจ้าหน้าที่ต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อติดตามสถานการณ์สำคัญ
อเล็กซ์ เซลบี-บูธรอยด์ หัวหน้าฝ่ายข้อมูลข่าวสารของ The Economist เขียนบน LinkedIn ว่า “ดัชนีพิซซ่าของเพนตากอนเป็นเครื่องมือทำนายเหตุการณ์แผ่นดินไหวทั่วโลกที่เชื่อถือได้อย่างน่าประหลาดใจ ตั้งแต่การรัฐประหารไปจนถึงสงคราม ตั้งแต่ทศวรรษ 1980”
มีรายงานว่าการจัดส่งพิซซ่าไปยังเพนตากอนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าก่อนที่สหรัฐฯ จะบุกปานามาในเดือนธันวาคม 1989
ในเดือนมกราคม 1991 แฟรงค์ มีกส์ เจ้าของร้าน Domino’s จำนวน 43 แห่งในพื้นที่วอชิงตันขณะนั้น กล่าวกับ Los Angeles Times ว่า “สื่อไม่รู้ว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเมื่อใด เพราะพวกเขากำลังเข้านอน แต่คนส่งพิซซ่าจะออกไปทำงานตั้งแต่ตีสอง” เขายังเล่าว่าในคืนวันที่ 1 สิงหาคม 1990 CIA สั่งพิซซ่าจำนวน 21 ถาด ถือว่ามียอดการสั่งภายในหนึ่งคืนที่มากเป็นประวัติการณ์ จากนั้น ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา กองกำลังอิรักได้บุกคูเวต
ในช่วงสงครามเย็น สหภาพโซเวียตยังใช้วิธีการติดตามพิซซ่าใกล้เพนตากอน พวกเขายังตั้งชื่อรหัสว่า ‘Pizzint’ ซึ่งเป็นคำย่อของคำว่า pizza intelligence
อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ผ่านนิตยสาร Newsweek โดยระบุว่า ปกติในเพนตากอนมีพิซซ่าให้เลือกมากมาย รวมถึงซูชิ แซนด์วิช และโดนัท พร้อมระบุว่าไทม์ไลน์ความนิยมของร้านพิซซ่าที่คนจับตามอง "ไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น"
ท่ามกลางการจับตานี้ ในสัปดาห์เดียวกัน สหรัฐฯ ยังได้ส่งเครื่องบินขนลูกระเบิดไปยังฐานที่มั่นโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน แต่มีรายงานว่า ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงในคลังของอิหร่านจำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปใช้สร้างอาวุธนิวเคลียร์ได้นั้น ถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่นิวเคลียร์ลับแห่งอื่นที่อิหร่านดูแลอยู่ด้วย แม้ว่าทรัมป์จะอ้างว่าระเบิดได้ถล่มโรงงานราบเป็นหน้ากอง และถือเป็นความสำเร็จทางการทหารของสหรัฐฯ
ต่อมาอิหร่านได้ตอบโต้กลับด้วยการโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในกาตาร์ แต่พลเมืองอเมริกันได้รับการอพยพ เนื่องจากได้รับการการแจ้งเตือนล่วงหน้า ทรัมป์ได้แถลงการณ์ขอบคุณอิหร่านที่แจ้งเตือนก่อน
เหตุการณ์ดังกล่าวนำมาสู่การเจรจาข้อตกลงหยุดยิงของสหรัฐฯ - อิหร่าน - อิสราเอล แต่ยังเป็นการตกลงที่มีความไม่แน่นอนนัก แม้สหรัฐฯ และอิหร่านมีแนวโน้มที่จะหยุดยิงแล้ว แต่ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านยังต่างจับตากันและกันอยู่ ถึงอย่างนั้น ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ประชาชนทั้งสองประเทศก็เริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ ร้านค้าต่างๆ ในเมืองหลวงของเตหะรานก็เริ่มเปิดให้บริการอีกครั้ง และอิหร่านได้เปิดน่านฟ้าในบางส่วนแล้ว
กลุ่มนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนในกรุงวอชิงตัน เผยว่าการโจมตีของอิสราเอลทำให้มีผู้เสียชีวิตในอิหร่านอย่างน้อย 1,054 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4,476 ราย โดยแบ่งเป็นพลเรือนจำนวน 417 รายและ 318 รายเป็นเจ้าหน้าที่ทางทหาร
ส่วนข้อมูลของอิสราเอลระบุว่า มีผู้เสียชีวิตในอิสราเอลอย่างน้อย 28 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 1,000 ราย ระหว่างสงคราม 12 วัน อิหร่านยิงขีปนาวุธมากกว่า 550 ลูกไปที่อิสราเอล โดยมีอัตราการสกัดกั้น 90% ขณะเดียวกัน อิสราเอลโจมตีเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานทางทหารของอิหร่านมากกว่า 720 แห่ง และฐานที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ 8 แห่ง
Ireland
นักการเมืองไอริชโชว์มีมเจดีแวนซ์ในสภา หลังกังวลการตรวจสอบโซเชียลมีเดียเพื่อขอวีซ่าของสหรัฐฯ
สถานทูตสหรัฐฯ ทั่วโลกประกาศเงื่อนไขให้ผู้ขอวีซ่าเดินทางเข้าประเทศต้องเปิดบัญชีโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มเป็นสาธารณะเพื่อตรวจสอบข้อมูลในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา
วีซ่าประเภทนี้จะบังคับใช้กับผู้สมัครวีซ่าชั่วคราวประเภท F, M และ J ทั้งหมด
วีซ่าชั่วคราวประเภท J เป็นวีซ่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เกี่ยวข้องกับการทำงานในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาจำกัด วีซ่าประเภท J1 อนุญาตให้นักเรียนและบัณฑิตจบใหม่เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาในช่วงฤดูร้อนเพื่อทำงานและท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกา
วีซ่าชั่วคราวประเภท F อนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในสถาบันบางแห่ง คล้ายกันกับวีซ่าประเภท M ที่มอบให้ผู้ศึกษาในสาขาที่ไม่ใช่วิชาการ เช่น สาขาเทคนิคหรือสาขาการทำอาหาร
เงื่อนไขดังกล่าวเกิดขึ้นตามนโยบายการคัดกรองชาวต่างชาติของกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยใช้งานกับทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย และไม่เว้นแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านสหรัฐฯ อย่างไอร์แลนด์ ซึ่งมีแรงงานจำนวนมากเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา
อิวานา บาซิก หัวหน้าพรรคแรงงานจึงออกมาแสดงความกังวลด้วยการนำเข้าประชุมในสภาไอร์แลนด์เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา ด้วยการโชว์ ‘มีมเด็กน้อย’ ของรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ซึ่งกลายเป็นประเด็นข้อกังขาเมื่อต้นสัปดาห์ เมื่อนักท่องเที่ยวชาวนอร์เวย์อ้างว่าเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศสหรัฐฯ และถูกเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐอเมริกา (ICE) กลั่นแกล้ง โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าพบภาพไม่เหมาะสมในโทรศัพท์ 2-3 ภาพ ทำให้นักท่องเที่ยวรายนี้เชื่อว่าเป็นภาพมีมเจดี แวนซ์ ในโทรศัพท์ของเขา
บาซิกกล่าวว่า ชาวไอริชหลายพันคนทำงานในสหรัฐฯ ด้วยวีซ่า J1 “แต่สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างมากภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ด้วยการประกาศใช้อำนาจเผด็จการว่านักศึกษาจะต้องส่งมอบบัญชีโซเชียลมีเดีย”
“เรากำลังเห็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกครั้งใหญ่ ซึ่งไม่อาจคาดคิดได้ว่าจะเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก สัปดาห์นี้ นักท่องเที่ยวชาวนอร์เวย์คนหนึ่งถูก ICE กักตัวที่สนามบินนิวยอร์กและส่งกลับออสโล ทำไม? เขามีมีมนี้ในโทรศัพท์ของเขา มีมที่วาดภาพรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ตอนเป็นทารก”
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้ออกมาปฏิเสธว่าการไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวนอร์เวย์เข้าประเทศนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับภาพมีมดังกล่าว แต่พวกเขาพบว่านักท่องเที่ยวคนนี้ใช้สารเสพติด
Italy
คนอิตาลีประท้วงงานแต่งของเจฟฟ์ เบซอสในเวนิซ เพราะมองเป็นการใช้อภิสิทธิชน ทำให้เมืองเป็น ‘สนามเด็กเล่น’ ของคนรวย
เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon หนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก เตรียมแต่งงานกับลอเรน ซานเชซ อดีตนักข่าวโทรทัศน์ที่เมืองเวนิชในสัปดาห์นี้
มีผู้พบเห็นซานเชซและคนมีชื่อเสียงมากมายไปร่วมงานปาร์ตี้แรกๆ ของงานแต่ง ทั้งออแลนโด บลูม ทอม เบรดี้ โอปราห์ วินฟรีย์ และสมาชิกครอบครัวคาร์ดาเชี่ยน เช่น คิม ไคลี โคลอี เคนดัลล์ และคริส
ส่วนใหญ่แผนการจัดงานแต่งงานจริงยังคงเป็นความลับอยู่ เนื่องจากมีความกังวลด้านความปลอดภัยและอาจเกิดการประท้วง และแม้จะไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาจะแต่งงานในเวนิชหรือเป็นเพียงแค่การฉลอง แต่ก็มีข่าวลือปรากฏในสื่อมากขึ้นเรื่อยๆ โดยสรุปว่า งานแต่งงานรวมทั้งปาร์ตี้ต่างๆ จะจัดขึ้นตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 26 ถึงวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่นของเวนิช
คาดว่าในวันพฤหัสบดี งานปาร์ตี้จัดขึ้นที่อาคาร Madonna dell’Orto วันศุกร์จะเป็นงานปาร์ตี้จัดขึ้นที่ San Giorgio Maggiore ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ด้านหน้าพระราชวัง Doge ส่วนงานในวันเสาร์อาจจัดขึ้นที่ Arsenale ซึ่งเป็นอาคารที่เคยเป็นอู่ต่อเรือ
เหตุผลที่การจัดงานต้องเก็บเป็นความลับ เนื่องจากความไม่พอใจของกลุ่มต่อต้านทุนนิยมที่วิจารณ์บทบาทของเบซอสในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะ Amazon ที่ทำลายร้านหนังสือรายย่อยจำนวนมาก การเข้าซื้อกิจการสื่อ และควบคุมการแสดงความคิดเห็นใน The Washington Post ไปจนถึงเรื่องล่าสุดที่เบซอสใช้บริษัททัวร์อวกาศ Blue Origin ส่งลูกเรือผู้หญิงล้วนขึ้นไปสัมผัสนอกโลก (รวมถึงคู่หมั้นของเขาด้วย) ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่า คนรวยใช้เงินมหาศาลผลิตคาร์บอนจำนวนมากให้คนชนชั้นอื่นๆ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
นั่นทำให้เกิดรายงานที่ระบุว่า แผนงานแต่งบางส่วนได้รับการเปลี่ยนแปลงเพื่อหลีกเลี่ยงกลุ่มนักเคลื่อนไหวต่อต้านทุนนิยม ซึ่งรวมตัวภายใต้ชื่อ ‘ไม่มีพื้นที่สำหรับเบซอส’ มาจากประโยคภาษาอังกฤษที่ว่า ‘No Space For Bezos’ การใช้คำว่า Space มีความหมายล้อไปกับประเด็นเรื่อง ‘อวกาศ’
นอกจากนี้ งานแต่งงานของพวกเขายังจัดตรงกับช่วงไฮซีซั่นของเมืองเวนิส เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวหลายหมื่นคนเดินทางมาที่เมืองนี้ทุกวัน ทำให้ศาลากลางเมืองต้องเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชมในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุด ซึ่งประเด็นนักท้องเที่ยวล้นเกิน (overtourism) ก็เป็นเรื่องที่คนพื้นที่ประท้วงในช่วงนี้อยู่แล้ว พวกเขากังวลว่าการจัดการด้านคมนาคมของงานแต่งงาน รวมถึงการรักษาความปลอดภัยของแขกระดับสูงบางคน จะทำให้ประชากรในเมืองเวนิสได้รับผลกระทบมากขึ้น
ยังไม่นับแขกเหรื่อคนดังที่จะมาร่วมงานครั้งนี้ ซึ่งอาจใช้เครื่องบินส่วนตัวเดินทางมายังเวนิช หรือบางส่วนใช้เรือยอทช์ส่วนตัวจอดเทียบท่าเรือ โรงแรม 5 แห่งถูกจองจนเต็มหมดแล้ว และมีรายงานว่าอดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ถูกจ้างมาเพื่อทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ประเด็นอีกอย่างที่สำคัญคือ เรือแท็กซี่ที่อาจจะถูกใช้งานเพื่อเดินทางไปงานแต่งจำนวนมาก แต่แถลงการณ์จากศาลากลางเมืองเวนิชกล่าวว่า มีการจองแท็กซี่น้ำเพียง 30 คันจากทั้งหมด 280 คัน และเนื่องจากเวนิสเคยชินกับการจัดงานสำคัญๆ ประชาชนจึงไม่เดือดร้อน ในแต่ละปีมีคู่รักมากกว่า 600 คู่เข้าพิธีวิวาห์ในเมืองเวนิส ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองแห่งความรักในระดับนานาชาติ และนี่เป็นเพียงงานแต่งงานอีกงานหนึ่งเท่านั้น
“เรามาทำให้แน่ใจกันเถอะว่าเวนิสจะไม่ถูกจดจำในฐานะสถานที่จัดงานแต่งงานที่เบซอสใช้เป็นสถานที่ถ่ายรูป แต่ให้เป็นเมืองที่ไม่ก้มหัวให้กับกลุ่มผู้มีอำนาจ” นา ฮาบี สเตลลา เฟย์ ผู้ประท้วงคนหนึ่งกล่าว “เรามีโอกาสที่จะขัดขวางงานแต่งงานมูลค่ากว่า 10 ล้านดอลลาร์ได้ มาทำกันเถอะ”
เดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานว่าค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานอาจแตะถึง 21.5 ล้านดอลลาร์ นั่นทำให้กรีนพีซ องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมร่วมประท้วงกับผู้ชุมนุม No Space for Bezos ด้วยการขึงผ้าขนาดใหญ่ที่มีข้อความว่า “If You Can Rent Venice For Your Wedding, You Can Pay More Tax” หรือ “ถ้าคุณมีเงินเช่าเวนิชเพื่อจัดงานแต่งตัวเองได้ คุณก็สามารถจ่ายภาษีเพิ่มได้”
“การประท้วงของเราไม่ได้เกี่ยวกับงานแต่งงานโดยตรง แต่เกี่ยวกับสิ่งที่งานแต่งงานเป็นตัวแทน” ซิโมนา อับบาเต นักรณรงค์ของกรีนพีซ กล่าวกับบีบีซี
“นี่ไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลองการแต่งงานของคนสองคนเท่านั้น แต่มันเป็นการแสดงวิถีชีวิตที่ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน คนที่ร่ำรวยที่สุดใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ในขณะที่คนอื่นๆ ต้องทนทุกข์กับผลที่ตามมาจากภาวะฉุกเฉินด้านสภาพอากาศที่พวกเขาไม่ได้ก่อขึ้น”
สามีภรรยาคู่นี้ได้ระบุในการ์ดงานแต่งงานว่า พวกเขาจะบริจาคเงินให้กับองค์กรหลายแห่งในนามของแขก รวมถึงสำนักงาน UNESCO ในเมืองเวนิส ตลอดจนกลุ่มที่ทุ่มเทให้กับการอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยในทะเลสาบเวนิส
อย่างไรก็ตาม มีประกาศว่าคู่รักจะเปลี่ยนสถานที่การจัดงานในเวนิชเพื่อความปลอดภัย ทำให้กลุ่มผู้ประท้วงมองว่าเป็นชัยชนะ
"เราภูมิใจกับเรื่องนี้มาก! เราไม่ใช่คนไร้ค่า เราไม่มีเงิน ไม่มีอะไรเลย!" ทอมมาโซ คัคซิอารี จากกลุ่ม No Space for Bezos กล่าวกับบีบีซี "เราเป็นเพียงพลเมืองที่เริ่มจัดการ และย้ายบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในโลก พวกมหาเศรษฐีทั้งหมดออกจากเมืองได้"
นักเคลื่อนไหวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากเจ้าหน้าที่เมือง ซึ่งโต้แย้งว่าการจัดแต่งงานอันหรูหรานี้จะเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ
“ผู้ประท้วงเหล่านี้ทำตัวราวกับว่าพวกเขาเป็นเจ้าของเวนิส แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่” ซิโมน เวนทูรินี สมาชิกสภาเมืองฝ่ายพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวในสัมภาษณ์ของบีบีซี “ไม่มีใครมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าใครจะแต่งงานที่นี่”
“งานนี้จะมีแขกที่คัดเลือกมาอย่างดีเพียง 200 คนเข้าร่วม และจะทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งใหญ่แก่เมือง” นักการเมืองท้องถิ่นกล่าว และเสริมว่างานทั้งหมดจัดขึ้นในสถานที่ที่เป็นของเอกชน
Vietnam
เวียดนามเตรียมยกเลิกโทษประหารในคดีล้มรัฐบาลและยักยอกทรัพย์
ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป รัฐสภาเวียดนามได้ประกาศยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับความผิด 8 กรณี ได้แก่ การทำลายทรัพย์สินของรัฐ การผลิตยาปลอม การทำลายสันติภาพ การกระตุ้นสงครามรุกราน การจารกรรม การพกพายาเสพติด รวมถึงการฉ้อโกงและกิจกรรมที่มุ่งหมายจะล้มล้างรัฐบาล
ข้อกล่าวหาเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนโทษสุงสุดเป็นจำคุกตลอดชีวิตแทน ส่วนผู้ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตสำหรับความผิดเหล่านี้ก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม แต่ยังไม่ได้ถูกประหารชีวิต จะได้รับการลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต
นั่นทำให้ Truong My Lan เจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ ประธานบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Van Thinh Phat Holdings Group ซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหาฉ้อโกงมูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้วจะได้รับการลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม ยังมีความผิดอีก 10 ข้อหาที่ยังคงมีโทษสูงสุดคือการประหารชีวิต เช่น การฆาตกรรม การทรยศ การก่อการร้าย และการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก รวมทั้งการค้ายาเสพติด
ข้อมูลโทษประหารชีวิตเป็นความลับของรัฐในเวียดนาม และไม่ทราบว่าปัจจุบันมีผู้กี่คนที่อยู่ในแดนประหาร โดยการฉีดสารพิษเป็นวิธีในการดำเนินการดังกล่าว
South Korea
ประธานาธิบดีแต่งตั้งพลเรือนขึ้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในรอบ 64 ปี และเลือกนักสิทธิแรงงานต่างชาติเป็นรัฐมนตรีแรงงาน
อี แจมยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ ประกาศแต่งตั้งให้ อัน กยูบัค สมาชิกรัฐสภาอาวุโสขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ทำให้เขาเป็นพลเรือนคนแรกในรอบ 64 ปีที่ได้ควบคุมหน่วยงานทหาร
การแต่งตั้งนี้เป็นไปตามสัญญาหาเสียงที่เขาให้ไว้หลังจากเกิดกรณีประกาศใช้กฎอัยการศึกของอดีตประธานาธิบดียุน ซอกยอลเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นในกองทัพสั่นคลอน เนื่องจาก คิม ยอง-ฮยอน อดีตรัฐมนตรีกลาโหมในสมัยของยุน ซอกยอล มีบทบาทนำในการเสนอแนะและวางแผนกฎอัยการศึก จึงถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีในข้อกล่าวหาก่อกบฏ
นอกจากนี้ เขายังได้แต่งตั้งอดีตเอกอัครราชทูตสหประชาชาติ โช ฮยอน ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ และชุง ดงยอง ผู้สนับสนุนการทูตเกาหลีเหนือ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการรวมชาติ รวมทั้ง คิม ยองฮุน พนักงานขับรถไฟและหัวหน้าสมาพันธ์แรงงานเกาหลีตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2012 ผู้เป็นนักเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานต่างด้าวก็ได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแรงงาน หากเขาได้รับเลือกจริง อาจเป็นแรงงานคนแรกที่มีอิทธิพลต่อสาธารณะที่จะเข้ารับตำแหน่งนี้
France
ผู้ชมกว่า 145 คนถูกเข็มจิ้มในงานเฟสติวัลดนตรีทั่วฝรั่งเศส รวมทั้งเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีถูกส่งตัวตรวจสารพิษ
เทศกาลดนตรี La Fête de la Musique มีผู้คนเข้าร่วมมหาศาล ระหว่างนั้น มีคนที่เข้ามาแจ้งความตำรวจว่าถูกจิ้มจากเข็มฉีดยาโดยคนปริศนา รวมรายชื่อคนที่ประสบเหตุได้กว่า 145 คน
ตำรวจฝรั่งเศสควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 12 คน และยังมีรายงานว่ามีเคสเกิดขึ้นในปารีสพร้อมกัน 13 เคส โดยเหยื่อยังมีผู้หญิงและเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 12 ปีกว่า 12 คนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังมีผู้เข้าร่วมงาน 14 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส รวมถึงวัยรุ่นอายุ 17 ปีที่ต้องเข้าโรงพยาบาลหลังจากพบว่านั่งอยู่บนถนนโดยมีบาดแผลจากการถูกแทงที่ช่องท้องส่วนล่าง
โฆษกกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า "กระทรวงมหาดไทยดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังมาก" โดยจะมีการตรวจสารพิษสำหรับเหยื่อที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และจะมีการสอบสวนดำเนินการต่อไป
โลร็อง นูเญซ หัวหน้าตำรวจปารีสกล่าวกับ CNews ของฝรั่งเศสว่า “นี่เป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมาก”
เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ระบุสาเหตุที่แท้จริงว่า เหตุการณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการวางยาเพื่อล่อลวงละเมิดทางเพศ โดยใช้ยา Rohypnol หรือ GHB หรือไม่ แต่ยาเหล่านี้สามารถทำให้เหยื่องุนงงและตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศได้ โดยก่อนหน้านี้ อาเบรฌ เซอร์ อินฟลูเอนเซอร์ชาวฝรั่งเศสเคยออกมาเตือนว่า มีการเรียกร้องให้วางยาผู้หญิงด้วยการฉีดยาในโซเชียลมีเดีย
ฟรองซัว โกรดีดีเย นายกเทศมนตรีเมืองเมตซ์ กล่าวว่า “มีการเรียกร้องให้ใช้เข็มฉีดยาโจมตีบนโซเชียลมีเดียระหว่างเทศกาลดนตรีในเมืองใหญ่ๆ โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอีกสองเมืองในโมเซลและทั่วประเทศฝรั่งเศส… เด็กสาว 17 คน (อายุ 14-20 ปี) ตกเป็นเหยื่อใน #เมตซ์”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองเมตซ์ได้เข้าจับกุมชายสองคนใจกลางเมืองในข้อหาใช้เข็มฉีดยาโจมตีผู้คน
“เราได้มีการแชร์ลักษณะของคนร้ายที่ใช้เข็มฉีดยากับศูนย์ควบคุมดูแลเมือง (CSU) เพื่อช่วยระบุตัวเขาจากภาพวิดีโอ ตำรวจเทศบาลและตำรวจแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ตำรวจเทศบาลระบุตัวเขาบนถนนแซร์เปอนวาซ จึงจับกุมเขา และส่งตัวให้กับตำรวจแห่งชาติและเจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการ ฉันหวังว่าการสืบสวน โดยเฉพาะการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของเขา จะช่วยระบุตัวคนร้ายคนอื่นๆ ได้”
เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในฝรั่งเศสเมื่อเดือนมิถุนายน 2022 ผู้ต้องสงสัยหลายคนในฝรั่งเศสถูกควบคุมตัวในข้อหาแทงคนด้วยเข็มฉีดยาในไนท์คลับหรือในคอนเสิร์ต โดยมีเป้าหมายร้อยละ 80 เป็นผู้หญิง ซึ่งมีรายการแจ้งเจ้าหน้าที่กว่า 400 ราย
เช่นเดียวกันกับในสเปน เคยเกิดเหตุการณ์ผู้หญิงกว่า 60 ราย เข้ามารายงานกับเจ้าหน้าที่ว่าถูกแทงด้วยเข็มฉีดยาในไนท์คลับหรือในงานปาร์ตี้ในปี 2022 รวมทั้งในสหราชอาณาจักรก็มีรายงานการถูกเข็มฉีดยาในปี 2021 เช่นกัน
Science
นักวิทยาศาสตร์พบแบคทีเรียที่จะทำลายพลาสติกและเปลี่ยนให้เป็นยาพาราเซตามอล
ศาสตราจารย์สตีเฟน วอลเลซ หัวหน้านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ นำทีมค้นพบแบคทีเรียที่สามารถนำไปใช้เปลี่ยนขยะพลาสติกให้เป็นยาแก้ปวดได้ โดยเป็นการค้นพบอีโคไลที่สามารถนำไปใช้ผลิตพาราเซตามอลหรืออะเซตามิโนเฟนได้จากวัสดุที่ผลิตจากขวดพลาสติกในห้องปฏิบัติการ
“คนยังไม่รู้ว่าปัจจุบันพาราเซตามอลผลิตจากน้ำมัน เทคโนโลยีนี้แสดงให้เห็นว่าการผสมผสานเคมีและชีววิทยาเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรก จะทำให้เราสามารถผลิตพาราเซตามอลได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น และช่วยกำจัดขยะพลาสติกออกจากสิ่งแวดล้อมได้ในเวลาเดียวกัน”
ในการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Chemistry วอลเลซและทีมได้นำพลาสติกโพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) ซึ่งมักพบในบรรจุภัณฑ์อาหารและขวดน้ำดื่ม มาทำปฏิกิริยาเคมีอย่างยั่งยืน (sustainable chemical methods) จนได้วัสดุชนิดใหม่
จากนั้นพวกเขาก็มีแบคทีเรียอีโคไล (E. coli) สายพันธุ์ที่ไม่ก่อโรคและไม่สามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘พาบา’ (PABA) หรือสารชีวภาพได้เองตามธรรมชาติ นำแบคทีเรียนี้มาบ่มกับ PET ด้วยปฏิกิริยาทางเคมีที่เรียกว่า การจัดเรียงตัวแบบลอสเซน (Lossen rearrangement) ปฏิกิริยานี้ไม่เคยพบมาก่อนในธรรมชาติ แต่สามารถเข้ากันกับสิ่งมีชีวิต (biocompatible) ได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปฏิกิริยานี้สามารถเกิดขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมที่มีเซลล์สิ่งมีชีวิตโดยไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์เหล่านั้นเอง นั่นทำให้เซลล์แบคทีเรียอีโคไลที่พวกเขาทดลองนี้พึ่งพาวัสดุที่ได้จาก PET เพื่อมาผลิตพาบา ทำให้ขยะพลาสติกเปลี่ยนมาเป็นวัสดุชีวภาพได้
นักวิจัยยังได้ดัดแปลงพันธุกรรมของอีโคไลเพิ่มอีก โดยใส่ ยีนสองตัวที่มาจากเห็ดและแบคทีเรียในดิน ซึ่งช่วยให้แบคทีเรียสามารถแปลงพาบาให้กลายเป็น ‘พาราเซตามอล’ ได้
ทีมวิจัยระบุว่า ด้วยการใช้แบคทีเรียอีโคไลชุดใหม่นี้ พวกเขาสามารถเปลี่ยนวัสดุที่ได้จาก PET ให้กลายเป็นพาราเซตามอลภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงได้สำเร็จ โดยมีการปล่อยมลพิษต่ำ และได้ผลผลิตสูงถึง 92%
แต่ก็ต้องมีการพัฒนาต่อไป หากต้องการผลิตพาราเซตามอลในระดับอุตสาหกรรม แต่นักวิจัยยืนยันว่าผลลัพธ์ในการทดลองทางเคมีและชีววิทยาร่วมกัน อาจนำไปสู่การประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติได้
Vogue
แอนนา วินทัวร์ ลาออกจากบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Vogue หลังดำรงตำแหน่งเกือบ 40 ปี
หลายคนมีภาพจำแอนนา วินทัวร์ ในบทบาทบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Vogue อเมริกา จากการเป็นแรงบันดาลใจตัวละคร มิแรนด้า พรีสต์ลีย์ ในหนังสือ The Devil Wears Prada ซึ่งเขียนโดยอดีตผู้ช่วยของเธอ จากนั้นก็ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ชื่อดังในชื่อเดียวกัน และได้เมอร์เรียล สตีปมารับบท ‘คุณนายพรีสต์ลีย์’ ซึ่งแสดงให้เห็นอิทธิพลในฐานะเจ้าแม่วงการแฟชั่นและนิตยสารที่ทุกคนเกรงขาม การทำงานอันจริงจังและเข้มงวดกลายเป็นภาพจำที่ทุกคนยำเกรงต่อเธอ
แอนนาจึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘เจ้าหญิงน้ำแข็ง’ ด้วยบุคลิกเย็นชา จริงจัง และเข้มงวด แต่ด้วยวิสัยทัศน์การทำงานของเธอ ทำให้แอนนาเป็นบุคคลสำคัญของวงการที่มีแนวคิดทำงานอันหลักแหลม เธอคอยสร้างเซอร์ไพรส์และความแปลกใหม่มาสู่ผู้ชม รวมทั้งคนในวงการเสมอ ในบทบาทบรรณาธิการบริหาร เธอริเริ่มการนำนักแสดง ดาราดัง และนักการเมืองมาขึ้นปกนิตยสารโว้ก ด้วยความเชื่อที่ว่าปกนิตยสารเป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ที่ทรงพลังชนิดที่ควบคุมกระแสในวงการฮอลลีวูด แฟชั่นวีคในเมืองต่างๆ โดยเฉพาะในยุคที่นิตยสารรุ่งเรืองถึงขีดสุด
แอนนาเติบโตในครอบครัวของนักข่าว ชาร์ลส์ วินทัวร์ พ่อของเธอเป็นบรรณาธิการ London Evening Standard ส่วนเธอเริ่มต้นอาชีพในอังกฤษก่อนจะย้ายไปนิวยอร์กตอนอายุ 20 ปี จากนั้นกลับมารับตำแหน่งบรรณาธิการ British Vogue ในปี 1985 ก่อนจะย้ายกลับมาดำรงตำแหน่งบรรณาธิการให้กับ Vogue ของอเมริกาในอีก 3 ปีต่อมา
ในปีนั้นเองที่เธอสร้างความหวือหวาขึ้นบนปกโว้ก แอนนาเปิดภาพปกนิตยสารโว้กฉบับแรกในฐานะบรรณาธิการด้วยนางแบบสวมกางเกงยีนส์ซีด ซึ่งในยุคนั้นมองว่าเป็นเครื่องแต่งกายที่ไม่เป็นทางการ แต่มันปรากฏครั้งแรกบนปกนิตยสารแฟชั่นที่ทรงอิทธิพลที่สุด จนทำให้โรงพิมพ์ต้องโทรไปตรวจสอบว่า ไม่ได้เกิดการส่งเนื้อหามาผิดใช่หรือไม่
แต่ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่แอนนาต้องการ เพราะต่อมา กางเกงยีนส์ก็ได้เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมแฟชั่นในช่วงทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 20
แอนนาในวัย 75 ปี แม้จะลาออกจากตำแหน่งบรรณาธิการบริหารนิตยสารโว้ก แต่เธอจะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองบรรณาธิการระดับโลกของโว้กต่อไป รวมถึงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเนื้อหาของบริษัทแม่อย่าง Conde Nast ด้วย
Kenya
ครบรอบ 1 ปีการต่อต้านขึ้นภาษีครั้งใหญ่ ประชาชนรวมตัวประท้วงการใช้ความรุนแรงตำรวจและการทุจริตของรัฐบาลทั่วเคนย่า
เดือนมิถุนายนเมื่อปี 2024 ชาวเคนย่ารวมตัวประท้วงครั้งใหญ่กรณีการขึ้นภาษีของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีวิลเลียม รูโต แม้ประเด็นสำคัญของการประท้วงจะมาจากกฎหมายขึ้นภาษี ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าจะทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันของชาวเคนยาสูงขึ้น แต่การเคลื่อนไหวได้ขยายวงกว้างไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมายาวนาน เช่น หนี้สินของเคนยา การทุจริตในรัฐ เรื่องอื้อฉาวของรัฐบาล และราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น
แต่การชุมนุมรุนแรงขึ้นจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 60 รายและอีกหลายสิบรายถูกจับกุมโดยตำรวจเคนยา
การชุมนุมในปีนี้จึงเป็นการรวมตัวรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในครั้งนั้น และเรียกร้องความยุติธรรมให้กับบล็อกเกอร์รายหนึ่งที่เสียชีวิตระหว่างการควบคุมของตำรวจ และเจ้าหน้าที่ 3 คนถูกจับกุมต่อการเสียชีวิตของเขา
ในระหว่างการกลับมาชุมนุมนี้ ประธานาธิบดีรูโตยังนำภาษีและค่าธรรมเนียมสรรพสามิตสำหรับน้ำตาล แอลกอฮอล์ และพลาสติก ค่าบริการโทรศัพท์มือถือและบรอดแบนด์ และภาษีนำเข้า กลับมาใช้ใหม่อีกครั้งในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แม้ว่าพวกเขาจะยอมถอนออกไปเมื่อปีที่แล้ว ยิ่งสร้างความโกรธให้ผู้ชุมนุมมากขึ้น มีการชุมนุมเกิดขึ้นทั่วเมืองเคนย่า รวบรวมผู้คนได้กว่าหลายพันคน และมีการปะทะกับกองกำลังรักษาความปลอดภัย ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 รายและบาดเจ็บอีกหลายร้อยราย
เมืองหลวงไนโรบีมีผู้ชุมนุมมากที่สุด ร้านค้าและธนาคารปิดให้บริการ เนื่องจากตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ยังนำลวดหนามและแบริเออร์ออกมาปิดรัฐสภา เพราะปีที่แล้วผู้ชุมนุมได้บุกเผารัฐสภาในช่วงสั้นๆ แต่ปีนี้นับว่ามีผู้ชุมนุมลดลงจากปีที่แล้ว อันส่งผลมาจากมาตรการของรัฐบาลและการใช้ความรุนแรงของตำรวจ
แม้ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเคนย่าจะยืนยันถึงสิทธิในการชุมนุมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่รัฐบาลก็ได้ปิดกั้นไม่ให้สื่อนำเสนอข่าวผ่านช่องทางทีวี ทำให้สื่อเกือบทั้งหมดในเคนยาใช้ยูทูบ เฟซบุ๊ก และแพลตฟอร์มอื่นๆ ในการรายงาน ชาวเคนย่าจำนวนมากยังรับข้อมูลจากกลุ่มใน WhatsApp ที่ผู้ชุมนุมส่งคลิปรายงานสถานการณ์ด้วย
คารุติ กันยิงกา (Karuti Kanyinga) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยไนโรบี กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้อาจมีส่วนทำให้เห็นว่าการเลือกตั้งในปี 2027 จะเป็นอย่างไร และจากการใช้ความรุนแรงครั้งนี้ได้มีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนาย และนักการเมืองก็ระมัดระวังมากขึ้นในการเสนอมาตรการทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นที่นิยม
อ้างอิง: fastcompany.com, theguardian.com, newsweek.com, theguardian.com, apnews.com, thejournal.ie, irishstar.com, usatoday.com, nytimes.com, nytimes.com, bbc.com, reuters.com, reuters.com, koreatimes.co.kr, euronews.com, theguardian.com, theguardian.com, bbc.com, nytimes.com
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath