ผู้นำในภาวะวิกฤติ : ศึกษากรณีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร
ทวี สุรฤทธิกุล
วิกฤติในสังคมบ้านเมืองก็เหมือนคนที่ป่วยหนัก จะต้องมีวิธีการรักษาให้ทันท่วงทีและระดมสรรพกำลังมาช่วยแก้ไขให้เต็มที่
บทความวันนี้ไม่ใช่ชื่อวิทยานิพนธ์ แต่เป็น “ชีวิตนิพนธ์” คือเรื่องชีวิตจริงของผู้นำทางการเมืองของไทยคนหนึ่ง ซึ่งโพรไฟล์ของเธอดีมาก แต่ทำไมเธอจึงมีพฤติกรรมการเมืองที่ “เหลวแหลก” และกำลังจะพาประเทศไปสู่ความ “แหลกลาญ” ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพ่อแม่ การศึกษา ชีวิตแวดล้อม หรือสถานการณ์ต่าง ๆ อะไรกันแน่?
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ชื่อเล่นอิ๊งค์ แต่มีคนต่อเติมชื่อเป็นอุ๊งอิ๊ง อันเป็นที่นิยมมากกว่า เป็นธิดาของนายทักษิณ ชินวัตร กับนางพจมาน ณ ป้อมเพชร เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2529 จบการศึกษาระดับมัธยมต้นที่โรงเรียนเซนโยเซพคอนแวนต์ มัธยมปลายที่โรงเรียนมาแตร์เดอี ปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท มหาวิทยาลัยเซอเรย์ ประเทศอังกฤษ อาชีพการงานน่าจะเป็นนักธุรกิจและเป็นธุรกิจของครอบครัว ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญไม่ทราบรายละเอียด แต่งงานแล้ว มีบุตร 2 คน
ที่นำเสนอประวัติโดยย่อของนางสาวแพทองธารมาข้างต้นนี้ ก็เพื่อนำเข้าสู่ทฤษฎีรัฐศาสตร์ทฤษฎีหนึ่งคือทฤษฎี “จิตวิทยาการเมือง” มีสาระโดยย่อว่า บุคคลในทางการเมืองจะมีพฤติกรรมการเมืองเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับ กำเนิด ครอบครัว การศึกษา อาชีพ ผู้คนรายรอบ และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดกระบวนการอบรมกล่อมเกลาทางสังคม (Socialization) อันทำให้บุคคลคนนั้น “แสดงออก” หรือ “ไม่แสดงออก” ซึ่งพฤติกรรมทางการเมืองทั้งหลาย อย่างเช่น เป็นเผด็จการ เป็นประชาธิปไตย หรือเป็น “ผู้นำที่ดี - ผู้นำที่เลว” เป็นต้น
นางสาวแพทองธารมีกำเนิดและชาติตระกูลที่ดี(หรือไม่?) มีการศึกษาดีมาก ๆ (แม้จะมีเรื่องราวว่ามีการช่วยเหลือให้ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย) มีอาชีพที่มั่นคงและอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงหรือผู้มีอำนาจ ทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ มีพ่อเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ทรงอำนาจที่สุดแม้ในปัจจุบัน ทั้งที่เป็นนักโทษและไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ส่วนตัวนางสาวแพทองธารนั้นก็มีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ที่รายรอบด้วยนักการเมืองจากหลากหลายพรรค อีกทั้งเธอยังผู้นำหญิง ซึ่งความเป็นผู้หญิงน่าจะทำให้เธอได้รับการปกป้องคุ้มครองจากผู้คนในสังคม โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ผู้คนถูกกล่อมเกลาให้มีเมตตาและความเอ็นดู แต่ทำไมคนไทย(เข้าใจว่าน่าจะเป็นจำนวนมากพอควร)จึงแสดงออกอย่างโหดร้ายต่อเธอ และขับไล่ไสส่งให้ออกไปให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงที่ขับไล่ให้เธอไปเสียให้พ้น ๆ จากประเทศไทยนี้
คำตอบที่พอจะทำให้เกิดความเข้าใจได้โดยใช้ทฤษฎีจิตวิทยาการเมืองนั้นก็คือ ที่เธอเป็น “เช่นนี้” ก็เพราะ “คนอื่นและสถานการณ์แวดล้อม” ตั้งแต่พ่อแม่ ที่มีสำนวนไทยว่า “พ่อแม่ไม่สั่งสอน” ซึ่งก็อาจจะจริง เพราะพ่อกับแม่นั้นคงยุ่งกับธุรกิจมาก ๆ เท่าที่มีคนเล่าให้ผู้เขียนฟัง ใน พ.ศ. 2529 ที่นายทักษิณมีลูกสาวคนนี้ นายทักษิณยังเดินขายผ้าไหมกับเนคไทไปตามกระทรวงต่าง ๆ (ห้างชินวัตรนั้นทำผ้าไหมและแอคเซสเซอรี่ต่าง ๆ ออกขาย มาตั้งแต่นายทักษิณยังไม่เกิดอยู่ที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่) กว่าที่นายทักษิณจะตั้งตัวได้ก็ในตอนที่ได้สัมปทานดาวเทียมกับขายโทรศัพท์มือถือ และมาเล่นการเมืองใน พ.ศ. 2538 จนขึ้นมามีอำนาจสูงสุดในปี 2544 ที่นายทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งตลอดเวลานั้นก็คงไม่มีเวลาที่จะมาอบรมกล่อมเกลาลูก ๆ รวมถึงนางพจมานก็คงวุ่นวายอยู่กับการช่วยเหลือสามีในธุรกิจต่าง ๆ นั้นเช่นกัน (ที่รวมถึงธุรกิจการเมืองด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้) จึงไม่มีเวลามา “สั่งสอน” ลูกสาวคนนี้อีกเช่นกัน
ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นอกจากการรับราชการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแล้ว ก็ยังได้มีโอกาสไปบรรยายในหัวข้อด้านการเมืองการปกครองตามที่มีผู้เรียนเชิญจากหน่วยงานต่าง ๆ อยู่เสมอ ๆ ครั้งหนึ่งได้ไปบรรยายในหัวข้อ “ผู้นำในภาวะวิกฤติ” ให้กับหลักสูตรผู้นำการเมืองยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตยของสถาบันพระปกเกล้า จำได้ว่าได้ย้ำให้นักศึกษาตระหนักกับคำว่า “วิกฤติ” และวิธีรับมือกับวิกฤติเหล่านั้น
“วิกฤติ” นั้นก็เหมือนโรคร้าย ซึ่งวิกฤติทางการเมืองก็คือโรคร้ายที่เกิดกับประเทศชาติบ้านเมืองนั่นเอง ซึ่งก็มีวิธีจัดการดูแลอยู่ 2 แนวทาง แนวทางหนึ่งคือใช้ผู้เชี่ยวชาญหรือคนเก่ง ๆ (หมอเก่ง ๆ) มาดูแลรับผิดชอบเป็นหลัก แล้วระดมหมอและผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ มาช่วยแก้ไขรักษา อีกแนวทางหนึ่งนั้นเป็นกรณีที่หาผู้เชี่ยวชาญหรือคนเก่ง ๆ ไม่ได้ หรือไม่ได้รับความร่วมมือจากคนเก่งและผู้เชี่ยวชาญ ก็ให้ระดมผู้คนและทรัพยากรเท่าที่จะหาได้ รวมถึงไปแสวงหาหรือจัดหาคนที่ยินดีจะช่วยเหลือให้เข้ามาช่วยกัน (ในทฤษฎีความวิกฤตินี้ก็หมายถึง การที่มีคนจำนวนมากมาช่วยกัน ก็ยังดีกว่าคนทั้งหลายทอดทิ้งหรือไม่ช่วยเหลือกัน)
เมื่อนำมาปรับใช้ในการแก้วิกฤติทางการเมือง ตอนนี้นางสาวแพทองธารน่าจะประสบปัญหาหลายอย่างที่รุนแรงเอามาก ๆ โดยในทางส่วนตัวเธอเองก็มีปัญหา “วุฒิภาวะบกพร่อง” ที่น่าจะเกิดจากขาดการอบรมเลี้ยงดูมาจากครอบครัวนั้นเป็นหลัก แม้ว่าจะมีการศึกษาที่ดี แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เธอมีความฉลาดรอบรู้หรือเก่งกล้าสามารถในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ จนมีชื่อเสียงเป็นที่ปรากฏ อย่างที่เรียกว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ยิ่งได้เข้ามาทำงานการเมืองเพราะอิทธิพลของพ่อส่งเข้ามา และต้องมีพ่อคอยกำกับประคองอยู่ทุกนาที ก็ยิ่งส่งความเสื่อมมาถึงตัวเอง แล้วยิ่งพ่อมีชื่อเสียงไม่ดี ความไม่ดีนั้นก็เข้ามาเคลือบความไร้เดียงสาของเธอนั้นไว้แทบทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นเป้าถูกโจมตีจากผู้คน อันเป็นผลจากการเข้ามาทำงานทางการเมือง(แต่ทำไม่เป็น) ก็ยิ่งให้เธอถูกลากถูไปสู่ความ “เหลวแหลก” จนหลายคนกลัวไปว่าเธอจะนำประเทศไทยนี้ไปถึงแก่ความ “แหลกลาญ” ในที่สุด ส่งผลให้ทั้งในส่วนตัวของนางสาวแพทองธารและภาพรวมของรัฐบาลชุดนี้ก็อยู่สถานภาพที่ง่อนแง่น จึงควรจะ “เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี” หรือ “เปลี่ยนรัฐบาล” นี้โดยเร่งด่วน
ทั้งนี้อาจจะต้องกลับไปใช้ “ผู้เชี่ยวชาญ” ซึ่งเมื่อเรามีวิกฤติความมั่นคง ผู้เชี่ยวชาญที่เราใช้ประจำในทางการเมืองไทยน่าจะเหลืออยู่เพียงกลุ่มเดียว
“ใครหนอ? อ๋อนั่นไง ขับรถถังออกมาแล้ว!”