กูรูเตือน 5 กลุ่มหุ้นไทยเสี่ยงโดนลูกหลงเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา
ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในขณะนี้ได้ลุกลามเกินกว่าขอบเขตของการปะทะทางทหาร เสียงปืนและจรวดที่ดังขึ้นในพื้นที่ชายแดนเริ่มส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดทุนไทย บรรยากาศการลงทุนที่เคยมีความหวังจากกระแสเงินทุนต่างชาติ เริ่มเผชิญแรงกดดันจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรง นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเลือกปรับพอร์ต ลดความเสี่ยง และชะลอการเข้าซื้อหุ้น
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ชี้ว่า หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ความเชื่อมั่นในหุ้นที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับกัมพูชาจะถูกกดดันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม SAV และ CBG ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากตลาดกัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญและอยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด
SAV-CBG เสี่ยงสูงสุด กลุ่มเครื่องดื่ม-ค้าปลีก-ท่องเที่ยวเผชิญแรงกดดันหลายระดับ
ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มส่งผลกระทบต่อหุ้นหลายกลุ่มในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้นที่มีการดำเนินธุรกิจหรือพึ่งพารายได้จากกัมพูชาโดยตรง ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่า กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (โดยเฉพาะ Energy Drink), ท่องเที่ยว, ค้าปลีกน้ำมัน, อาหารกระป๋องส่งออก และกลุ่มค้าปลีก (Commerce)
หุ้นที่ได้รับผลกระทบสูง
- SAV (บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
SAV มีรายได้ทั้งหมดจากธุรกิจในกัมพูชา โดยดำเนินธุรกิจบริหารวิทยุการบิน ซึ่งได้รับสัมปทานจนถึงปี 2051 ความขัดแย้งชายแดนส่งผลเป็นปัจจัยกดดันหลักและกลายเป็น overhang ต่อราคาหุ้น ฝ่ายวิจัยแนะนำให้ “ชะลอการลงทุน” ในระยะสั้นจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย(แนะนำ "ซื้อ" / ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท)
- CBG (บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
CBG มีรายได้จากกัมพูชาราว 13% ของรายได้รวม โดยครองส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในกัมพูชากว่า 50% ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกสินค้าเพียงพอสำหรับ 3 เดือน และปรับช่องทางขนส่งจากทางบกเป็นทางเรือ แม้ยอดขายปลายทางยังไม่เปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ประเมินว่า หากไม่มีรายได้จากกัมพูชาในช่วง ก.ค.-ธ.ค. 2568 จะกระทบกำไรสุทธิประมาณ 340 ล้านบาท คิดเป็น downside 10% ของประมาณการ ทั้งนี้ ราคาหุ้นในปัจจุบันได้สะท้อนความเสี่ยงส่วนหนึ่งแล้ว และยังคงเป้ากำไรปี 2568 ที่ 3,301 ล้านบาท (+16% YoY) โดยโรงงานแห่งใหม่ในกัมพูชายังคงเปิดดำเนินการตามแผนในวันที่ 1 ธันวาคม 2568 (แนะนำ "ซื้อ" / ราคาเป้าหมาย 79.00 บาท)
- OSP (บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)
ได้รับผลกระทบจำกัด เนื่องจากมีรายได้จากกัมพูชาประมาณ 1% ของรายได้รวม (แนะนำ "ซื้อ" / ราคาเป้าหมาย 18.00 บาท)
กลุ่มพาณิชย์ (Commerce)
- GLOBAL (บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน): มี 2 สาขาในพนมเปญและพระตะบอง สัดส่วนรายได้ต่ำกว่า 2%(แนะนำ "ถือ" / เป้า 8.00 บาท)
- CPAXT (บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน): มี 3 สาขาในพนมเปญและเสียมเรียบ รายได้จากกัมพูชาต่ำกว่า 1% (แนะนำ "ซื้อ" / เป้า 30.00 บาท)
- CPALL (บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน): มี 7-Eleven รวม 112 สาขาในกัมพูชา รายได้คิดเป็นไม่ถึง 1% (แนะนำ "ซื้อ" / เป้า 70.00 บาท)
กลุ่มค้าปลีกน้ำมัน–อาหารส่งออก
- OR (บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน): กัมพูชาคิดเป็น 4% ของ EBITDA รวมในไตรมาส 1/2568 มีสถานีบริการน้ำมัน 186 แห่ง, คาเฟ่อเมซอน 254 แห่ง และร้านสะดวกซื้อ 71 แห่ง (แนะนำ "ขาย" / เป้า 12.50 บาท)
- TU (บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน): ได้รับผลกระทบจำกัด รายได้จากกัมพูชาเพียง 0.01% ของรายได้รวม (แนะนำ "ถือ" / เป้า 10.50 บาท)
กลุ่มท่องเที่ยว
ความรุนแรงบริเวณชายแดนทำให้บางประเทศออกคำเตือนประชาชนหลีกเลี่ยงเดินทางไปยังพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งอาจกระทบภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย
กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและแรงงานต่างด้าว
ผลกระทบต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างยังอยู่ในระดับจำกัด เนื่องจากมีการพึ่งพาแรงงานกัมพูชาไม่มาก
- CK ไม่มีแรงงานกัมพูชาในสังกัด
- STECON มีแรงงานกัมพูชาราว 5%
- SEAFCO มีแรงงานไม่เกิน 10%
GFPT (บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) : ใช้แรงงานกัมพูชาราว 20% โดยผ่าน agency ซึ่งสามารถจัดหาแรงงานทดแทนได้หากมีการเลิกสัญญา ปัจจุบันยังไม่มีแรงงานขอกลับประเทศและการดำเนินงานยังเป็นปกติ(แนะนำ "ซื้อ" / เป้า 13.20 บาท)