ถ้ำทองพรรณรา...ประทับใจเมื่อได้เห็น
ประเทศไทยยามนี้ เหมาะมากกับการขับรถท่องเที่ยว เพราะถนนหนทางดีเหลือเกิน เชื่อมต่อกันได้หมด และมีแหล่งท่องเที่ยวตามทางตลอด ที่ว่านี่ไม่ได้เฉพาะภาคใดภาคหนึ่ง แต่เป็นในทุกภาคเลยที่เป็นแบบนี้ จึงไม่แปลกใจเลยที่เดี๋ยวนี้จะมีรถบ้านหรือรถนอน ที่นำเอารถต่างๆ มาดัดแปลงโดยติดตั้งเต็นท์กางนอนบนหลังคารถ แล้วตระเวนไปเรื่อยๆ ไปนอนตามอุทยานแห่งชาติบ้าง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบ้าง รวมทั้งลานตั้งแคมป์เอกชน ที่กำลังบูมเหลือเกิน ทำให้การท่องเที่ยวคึกคักขึ้นมาอีกโขเลย
หนึ่งในเส้นทางที่ผมเดินทางลงไปแทบทุกปี ในช่วงที่ไฟป่าเข้าทางภาคเหนือ ผมก็จะเผ่นลงใต้ ขับรถเพลินๆ ลงไปเรื่อยๆ คราวนี้จะพาเที่ยว ถ้ำทองพรรณรา อ.ถ้ำพรรณรา จ.นครศรีธรรมราช ที่ซึ่งหลายคนอาจจะผ่านเลยไป เพราะถนนสาย 41 หรือ AH2 จาก อ.นาสาร ของสุราษฏร์ธานี ขับรถเพลินๆ มุ่งหน้าไป อ.ทุ่งสง ของนครศรีธรรมราช ก็จะผ่าน อ.ถ้ำพรรณรา ซึ่งเพิ่งยกฐานะมาเป็นอำเภอเมื่อ 7 กันยายน 2538 นี่เอง
สภาพในวัดถ้ำทองพรรณรา
สมัยก่อน อ.ถ้ำพรรณรา ขึ้นกับ อ.ฉวาง ครั้นบ้านเมืองขยายขึ้น การเดินทางไปติดต่อราชการคงจะไม่สะดวก จึงได้ตั้งเป็นอำเภอขึ้นมา อย่างที่ผมบอกว่า ขับรถเพลินๆ เพราะทางดีเหลือเกิน ถนนสี่เลน แต่ระวังจะหลับในก็แล้วกัน ไปถึงสามแยกอำเภอถ้ำพรรณรา ให้เลี้ยวซ้าย เพราะผมกำลังจะพาไปไหว้พระนอนที่เก่าแก่ที่ "วัดถ้ำทองพรรณรา" ขับรถเข้าไปไม่เกิน 2 กิโลเมตร ทางเข้าวัดอยู่ทางซ้ายมือ ตรงทางโค้งพอดี
พอเลี้ยวเข้าไปจะเห็นถึงความร่มรื่นของพื้นที่ มีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่น ดูเหมือนสวนสาธารณะ เพราะมีคนมาจอดรถพัก มานั่งเล่นหมากรุก มางีบหลับก็มี นี่คือ "ลานหน้าถ้ำพระนอน" ที่ผมอยากจะพามานั่นเอง
บรรยากาศร่มรื่นหน้าถ้ำพระนอน
ด้านหน้าจะมีภูเขาหินปูนลูกไม่ใหญ่นัก มองเห็นเป็นหน้าผาสูงชัน ส่วนด้านล่างเป็นเวิ้งถ้ำเตี้ยๆ ครั้นเดินขึ้นไปตามบันได ก็จะเป็นลานหน้าพระนอน ที่ประดิษฐานอยู่ในถ้ำเตี้ยๆ เป็นพระนอนที่มีพุทธลักษณะสวยงามมาก พระพักตร์แลดูอิ่มเอิบ เปี่ยมด้วยเมตตา พระนอนองค์นี้ว่ากันว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยศรีวิชัย คนในพื้นที่ให้ความเคารพนับถือมาก ผมเข้าไปเที่ยวชมถ้ำก็เห็นมีคนมากราบไหว้อยู่ตลอดเวลา
ตามตำนานของที่นี่เล่าขานกันว่า มีแม่ชีปริงและแม่ชีปราง นำสัมภาระและผู้คนเดินทางมาทางทะเล เพื่อนำแก้วแหวนเงินทองไปร่วมสร้างพระบรมธาตุ แต่เมื่อมาถึงอู่เรือ (ปัจจุบันคือบ้านปากรา) ได้ทราบว่าพระบรมธาตุสร้างเสร็จแล้ว จึงได้ขึ้นบกหาสถานที่ที่เหมาะสม จนมาพบ "ถ้ำทอง" จึงได้สร้างพระพุทธไสยาสน์ขึ้นในถ้ำดังกล่าว และนำแก้วแหวนเงินทองที่นำมาด้วยนั้นบรรจุไว้ในองค์พระพุทธไสยาสน์นั้นด้วย
พระพุทธไสยยาสน์ในถ้ำ
เมื่อทั้งสองถึงแก่กรรม ลูกหลานจึงได้สร้างพระพุทธรูปขึ้น 2 องค์ แล้วนำอัฐิของแม่ชีปริงและแม่ชีปรางบรรจุไว้ ซึ่งต้องบอกไว้ก่อนว่านี่เป็นตำนานเรื่องเล่า ซึ่งโครงเรื่องก็จะคล้ายๆ กับหลายๆ ที่ทางภาคใต้ ก็เหมือนทางอีสานที่เล่าเรื่องผู้ชายผู้หญิงแข่งกันสร้างอะไรสักอย่าง ให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แล้วฝ่ายหญิงโกงโดยจุดโคมไฟหลอกฝ่ายชายนะแหละ ตำนานเรื่องเล่าแบบเดียวกันเลย ท่านผู้อ่านก็อ่านไว้ประดับความรู้ก็แล้วกันอย่าไปเอาจริงเอาจัง
ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปอยู่หลายองค์ ไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นพระปริง พระปราง รู้แต่ว่า พอถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี จะมีการทำบุญบูชาพระพุทธไสยาสน์ และพระพุทธรูปแม่ชีปริง-แม่ชีปราง เป็นประจำตลอดมาทุกปี อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าภายในถ้ำนั้นสงบเงียบ ประกอบกับบรรยากาศภายนอกที่ร่มรื่น ยิ่งทำให้ถ้ำนี้ดูน่าศรัทธาขึ้นอีกโขเลย
เหล่าพระพุทธรูปทางเบื้องพระบาทของพระนอน
ผมเห็นมีบันไดปูนเลียบหน้าผาขึ้นไปด้านบน ถามคนที่มาไหว้พระ เขาบอกว่า จะมีถ้ำฤาษีและถ้ำแม่ชี ผมก็เลยเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ เดินไปไม่ไกลครับ ก็จะเห็นโพรงถ้ำพระนอน ที่มองลงไปจะเห็นพระบาทของพระนอน และเหล่าพระพุทธรูปทั้งหลาย ครั้นเดินต่อไปอีกนิดก็จะมีทางปูนแยกเข้าไป เดินตามไปดู จะเป็นโพรงถ้ำขนาดไม่ใหญ่นัก ถ้ำตื้นๆ เป็นโถงขนาดย่อม พื้นปูกระเบื้อง ไม่รู้ว่าชื่อถ้ำอะไร เพราะเขาไม่ติดป้ายบอก แต่เห็นมีรูปปั้นฤาษีอยู่บนแท่นเคารพ ผมก็เลยเดาว่า สงสัยจะเป็นถ้ำฤาษี
โถงถ้ำฤาษี
ทางเดินที่เป็นบันไดปูนยังคงทอดยาวเลียบหน้าผาขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็ชันเอาเรื่องด้วย โชคดีที่มีราวเหล็กให้ยึดเกาะ ใครจะไป ผมแนะให้มีน้ำดื่มไปด้วย แล้วไม่ต้องเร่งรีบ ค่อยๆ เดิน เพราะทางมันชันไม่หยุดหย่อน บางช่วงก็พอมองเห็นทิวทัศน์บ้าง แต่ไม่โล่ง เพราะมีต้นไม้บังอยู่ จนขึ้นไปจนสุดนั่นแหละครับ ทีนี้ บันไดปูนจะพาตัดลงไปในหุบถ้ำ เดินตามบันไดลงไปจึงเห็นว่าด้านล่างมีถ้ำซ่อนอยู่ มองเห็นหินงอกหินย้อยที่มีสีเขียวจากตะไคร่ขึ้นคลุม พื้นถ้ำที่มองเห็นเป็นพื้นดิน
ทางลงไปหุบถ้ำแม่ชี
บันไดปูนที่ทอดนำลงไปจนถึงพื้นถ้ำ
ครั้นเดินลงไปจนสุดบันไดปูนที่ต่อทอดลงไปจนถึงพื้น ภายในถ้ำมีแสงรำไรๆ ถ้ำนี้อาจจะเป็นถ้ำแม่ชีที่ว่าก็ได้ (เขาไม่ได้ติดป้ายบอกว่าชื่อถ้ำอะไร) พื้นที่ในถ้ำไม่กว้างนัก แต่หลังคาโถงถ้ำสูง มีหินย้อยลงมาจากเพดาน จากผนังถ้ำดูสวยงาม ส่วนใหญ่มีตะไคร่ขึ้นเขียวไปหมด และส่วนใหญ่หินย้อยพวกนี้ “ตายแล้ว” แสดงถึงการเป็นถ้ำเก่าแก่
หินงอก หินย้อยหน้าถ้ำแม่ชี
ก็เพราะน้ำละลายหินปูนแล้วหยดลงมาจนเป็นหินย้อยนั้น หินปูนที่ละลายน้ำมา เกาะตัวอุดตันรอยแตกบนเพดาน จนน้ำหยดลงมาไม่ได้อีก ปล่อยให้หินย้อยที่เคยสร้างมานั้นตายไปโดยปริยาย คือไม่มีการก่อเกิดอีก เพราะไม่มีน้ำหินปูนหยดลงมาอีกแล้ว ผมถึงได้ว่า สงสัยถ้ำนี้จะนานแล้ว นานพอที่หินปูนจะอุดรอยแตกนะแหละ ส่วนหินงอก มีบ้าง แต่ไม่มาก
ปากถ้ำแม่ชีเมื่อมองย้อนแสงออกมา
ถ้ำนี้ เป็นถ้ำที่เงียบสงบจนดูออกจะวังเวงด้วยซ้ำ เพราะแสงในถ้ำรำไรเหลือเกิน และถ้ำอยู่ลึกลงไปโขอยู่ ลำพังแค่เดินขึ้นมาตามบันไดปูนก็ขึ้นมาไกลและสูงแล้ว ตัวถ้ำยังอยู่ลึกลงไปอีกมาก ดีที่มีบันไดปูนลงไปจนถึงข้างล่างได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้บรรยากาศวังเวงได้ยังไง
ไม่แน่ใจว่า มีโพรง มีหลืบถ้ำให้เข้าไปต่อได้ไหม ผมก็ลืมติดไฟฉายไป เลยไม่ได้ดูต่อ หลังจากเที่ยวชมส่วนอื่นๆ จนพอใจแล้วจากนั้นก็เดินกลับมาตามบันไดปูนนั่นเอง จนลงมาถึงลานหน้าพระนอนเช่นเดิม
ศาลารูปเคารพ
แหล่งท่องเที่ยวบางแห่ง ไม่ได้สวยงาม ไม่ได้มีอะไรมากนัก แต่การได้ไปเห็น ไปรู้ว่าที่ไหนมีอะไร ทำให้เราเข้าใจบริบทของพื้นที่แต่ละแห่ง และเข้าใจแต่ละท้องถิ่น แต่ละภูมิภาคได้มากขึ้น การเข้าใจ รับรู้ในสังคมที่แตกต่าง จะทำให้กำแพงกั้นการแปลกแยกนั้นลดลง และเกิดความรักความผู้พันขึ้น ซึ่งการได้มาเที่ยวชมถ้ำทองพรรณราก็เช่นกัน
ภาคใต้ ไปง่าย ทางดี ผมจึงเชิญชวนเลยครับ ลงทุ่งสง ผ่านถ้ำพรรณรา อย่าลืมแวะที่นี่ไปให้รู้จัก แล้วจะรักบ้านเรา…