ถ้อยแถลงของไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ UNSC
นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้ให้ถ้อยแถลงในการประชุมแบบปิดของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ภายใต้ระเบียบวาระ เรื่อง ภัยต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ณ ห้องประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก วันที่ 25 กรกฎาคม 2568
วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่ คำแปลถ้อยแถลง ของเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ในการประชุมแบบปิดของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)
ท่านประธานที่เคารพ
กระผมขอขอบคุณท่านที่จัดการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในครั้งนี้ และขอขอบคุณผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติสำหรับการบรรยายสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์
ท่านประธานที่เคารพ
กระผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อย่างไรก็ดี ในวันนี้ กระผมรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องกล่าวถ้อยแถลงภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้าย เนื่องจากการกระทำอันเป็นการรุกรานของกัมพูชา โดยปราศจากการยั่วยุ ซึ่งได้คุกคามต่ออำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และที่สำคัญยิ่ง ต่อชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า ประเทศไทยยึดมั่นในสันติภาพมาโดยตลอด
กระผมขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ประเทศไทยถือว่า กัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดและเป็นสมาชิกที่สนิทสนมในครอบครัวอาเซียนมาโดยตลอด นับตั้งแต่ที่กัมพูชาได้รับเอกราชในปี 2496 (ค.ศ. 1953) ประเทศไทยได้ช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อกระบวนการสร้างสันติภาพ การสร้างชาติ และการพัฒนาของกัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ไทยยังได้สนับสนุนข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี 2534 (ค.ศ. 1991) และการเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียนของกัมพูชาในปี 2542 (ค.ศ. 1999) ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาได้ร่วมมือกันด้วยความสุจริตใจเพื่อประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ
อย่างไรก็ดี ไทยและกัมพูชาประสบกับความท้าทายและมีความเห็นต่างในบางโอกาส ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ระหว่างประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกันทั่วไป แต่เมื่อเกิดกรณีดังกล่าวขึ้น สิ่งที่ควรกระทำ คือ การร่วมกันแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาอย่างสันติ ไม่ใช่การใช้ความรุนแรง และด้วยเหตุนี้ เราจึงมาหารือกันในที่ประชุมแห่งนี้
ท่านประธานที่เคารพ
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ได้เกิดการปะทะกันเล็กน้อยในบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ในขณะที่ทหารไทยกำลังอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนตามเส้นทางประจำที่กำหนดไว้ในเขตแดนของประเทศไทย ทหารฝ่ายกัมพูชาได้เริ่มยิงโจมตีทหารไทยก่อน โดยปราศจากการยั่วยุใด ๆ ทหารฝ่ายไทยจึงมีความจำเป็นต้องตอบโต้โดยคำนึงถึงความเหมาะและได้สัดส่วน ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ประเทศไทยเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า ช่องทางทวิภาคีคือ แนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการแก้ไขปัญหาลักษณะดังกล่าว ไทยจึงได้พยายามผลักดันให้มีหารือกับกัมพูชาผ่านการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission – JBC) ซึ่งได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568ณ กรุงพนมเปญ
แม้จะมีความพยายามอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 16 และ 23กรกฎาคม 2568 ได้เกิดเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามปกติภายในดินแดนของไทยเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ทหาร 2 นายได้รับบาดเจ็บ ซึ่งนำไปสู่การทุพลภาพถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ทุ่นระเบิดที่พบเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกนำไปวางใหม่ในพื้นที่ ซึ่งเคยเก็บกู้ทุ่นระเบิดหมดไปแล้ว ในการนี้ จึงขอเรียนข้อเท็จจริงว่า ไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหมดสิ้นไปแล้ว ซึ่งรวมถึงส่วนที่เก็บไว้เพื่อการวิจัยและฝึกอบรม ตั้งแต่ปี 2562 ในขณะที่ รายงานความโปร่งใสประจำปีของกัมพูชา เมื่อเดือนธันวาคมปี 2565 ระบุว่า กัมพูชายังคงครอบครองทุ่นระเบิดสังหารบุคคลประเภทดังกล่าว การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือที่เป็นที่รู้จักในนามอนุสัญญาออตตาวา (Anti-Personnel Mine Ban Convention – APMBC) ซึ่งไทยและกัมพูชาเป็นรัฐภาคี และขัดต่อเจตนารมณ์ของปฏิญญาเสียมราฐ–อังกอร์ ซึ่งได้รับการรับรองในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์อันร้ายแรงนี้ ประเทศไทยจึงได้ส่งหนังสือสองฉบับถึงประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 โดยชี้แจงข้อเท็จจริงของรายละเอียดเหตุการณ์และประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำของกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยโดยเจตนา นอกจากนี้ ไทยยังได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อขอให้ฝ่ายกัมพูชาชี้แจงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ต่อมา เมื่อเวลา 08.20 น. ของเมื่อวาน วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 กองทัพกัมพูชาได้เปิดฉากใช้อาวุธหนักยิงใส่ฐานปฏิบัติการของทหารฝ่ายไทยใกล้บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ และต่อมา ทหารฝ่ายกัมพูชาได้โจมตีทางอาวุธต่อพื้นที่ในดินแดนของประเทศไทยโดยไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ซึ่งถือเป็นการกระทำอันเป็นการรุกราน และการโจมตีทางอาวุธอย่างผิดกฎหมายและโดยไม่เลือกเป้าหมาย กระผมขอย้ำคำว่า โดยไม่เลือกเป้าหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและความทุกข์ทรมานต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ มีเด็กเสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บสาหัสอีก 4 คน นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือน รวมทั้งโรงพยาบาลและโรงเรียน ต่างก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยจากรายงานสถิติความเสียหาย ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตจำนวน 14 ราย และบาดเจ็บ 46 ราย โดย 13 รายอยู่ในภาวะวิกฤต
ผมขอย้ำประโยคว่า “อย่าละสายตา” อีกครั้ง ทั้งนี้ ในเพียงระยะเวลา 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โรงพยาบาล สถานีบริการน้ำมัน และบ้านพักของพลเรือนตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิก 4 คน ในระหว่างซื้อของที่ร้านขายของชำ โดยแม่และลูกสามคน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตออกมา และมีประชาชนมากกว่า 130,000 คน ที่ต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัย
ในการนี้ ประเทศไทยขอประณามอย่างถึงที่สุดต่อการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายและไร้มนุษยธรรมของกัมพูชาต่อพลเรือน โครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือน และสถานประกอบการสาธารณะต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949(The Geneva Conventions of 1949) โดยเฉพาะข้อ 19 ของอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่หนึ่ง และข้อ 18 ของอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่สี่
ท่านประธานที่เคารพ
การรุกรานและการโจมตีทางอาวุธอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากการยั่วยุและมีการวางแผนล่วงหน้าของกองทัพกัมพูชา ถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 2 วรรค 4 ซึ่งทุกท่านทราบดีว่า ระบุห้ามไม่ให้มีการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐอื่น อีกทั้งยังขัดต่อหลักการอยู่ร่วมกันฉันมิตรกับรัฐเพื่อนบ้าน หลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน
แม้จะใช้ความอดกลั้นอย่างสูงสุด แต่ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้สิทธิป้องกันตนเองตามข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ผมขอยืนยันว่า การตอบโต้ของไทยดำเนินการอย่างมีการจำกัดขอบเขตตามหลักความได้สัดส่วน และมุ่งเป้าในการขจัดภัยคุกคามที่เกิดขึ้นต่อหน้าจากการโจมตีของกองกำลังฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น มาตรการที่ใช้ทั้งหมดมุ่งเป้าต่อเป้าหมายทางทหารโดยตรง และได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อพลเรือน
ประเทศไทยมีจุดยืนที่ชัดเจนและต่อเนื่องในการยึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น และเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐอื่นอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นหลักการที่เป็นพื้นฐานสำคัญของระเบียบระหว่างประเทศและเสถียรภาพในภูมิภาค
ท่านประธานที่เคารพ ในฐานะประเทศที่รักสันติ ประเทศไทยขอปฏิเสธอย่างเด็ดขาดต่อการใช้กำลังแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ และยังคงยึดมั่นต่อการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎบัตรสหประชาชาติ ในการนี้ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ไทยได้พยายามอย่างต่อเนื่องในการเจรจาและหารือกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่าง ๆ รวมถึง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission – JBC) เพื่อแก้ไขความขัดแย้งและป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม แต่เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่กัมพูชาจงใจหลีกเลี่ยงการเจรจา แต่พยายามนำเรื่องเข้าสู่เวทีระหว่างประเทศเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ทางการเมืองของตนเอง
ในส่วนของข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความเสียหายต่อบริเวณโดยรอบและโครงสร้างของปราสาทพระวิหาร ขอยืนยันว่าไทยได้ใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยยึดมั่นในหลักการแบ่งแยกระหว่างพลรบกับพลเรือน ความได้สัดส่วนของการใช้กำลัง ความระมัดระวัง และความจำเป็นทางทหาร การตอบโต้ทั้งหมดของฝ่ายไทยจำกัดเฉพาะเป้าหมายทางทหารอย่างเคร่งครัด
ไม่มีการปะทะใด ๆ ระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชาเกิดขึ้นใกล้บริเวณปราสาทพระวิหาร พื้นที่ปะทะที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่บริเวณภูมะเขือ ซึ่งห่างจากปราสาทพระวิหารประมาณ ๒ กิโลเมตร และปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นอกแนววิถีกระสุนของปฏิบัติการทางทหารของไทยโดยสิ้นเชิง จึงไม่มีความเป็นไปได้ใด ๆ ที่กระสุนหรือสะเก็ดระเบิดจะสร้างความเสียหายแก่ปราสาทพระวิหาร
ข้อกล่าวหาของกัมพูชาจึงปราศจากมูลความจริงและเป็นที่น่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง โดยเป็นการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน ประเทศไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือบิดเบือน ซึ่งเป็นการทำให้ประเด็นมรดกทางวัฒนธรรมกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองและขอให้กัมพูชาเคารพพันธกรณีระหว่างประเทศในการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมโดยสุจริตใจ
ในประเด็นระเบิดพวง ไทยขอยืนยันว่า การดำเนินการทางทหารเป็นไปตามหลักการแบ่งแยกระหว่างพลรบกับพลเรือน ความได้สัดส่วนของการใช้กำลัง และความจำเป็นทางทหาร ระเบิดพวงได้ถูกใช้โดยมุ่งไปยังเป้าหมายทางทหารเท่านั้น
ท่านประธานที่เคารพ
ประเทศไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการสู้รบและการกระทำที่เป็นการรุกรานโดยทันที และกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาโดยสุจริตใจ
ที่มาภาพ:เพจ กระทรวงการต่างประเทศ Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand