EV จีนยอดขายยุโรปพุ่งสวนทาง "Tesla" เร่งแก้เกม l การตลาดเงินล้าน
ผู้ผลิตรถยนต์จีนยังคงยึดพื้นที่ในตลาดยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการรายงานล่าสุด เดือนพฤษภาคม พบว่า สามารถครองส่วนแบ่งยอดขายในกลุ่มรถยนต์ไฮบริดได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และยังครองส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดในรอบ 10 เดือน อีกด้วย
นำโดย บีวายดี และ เอ็มจี ของ SAIC Motor (เอสเอไอซี มอเตอร์) ที่มีส่วนแบ่งของยอดขาย คิดเป็นสัดส่วนเกินร้อยละ 9 ทั้งในกลุ่มรถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน และตามข้อมูลของบริษัทวิจัย ดาต้าฟอร์ซ (Dataforce) ยังพบว่า ยอดจดทะเบียนระยนต์แบรนด์จีนในยุโรป ซึ่งรวมกับรถรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในด้วย พุ่งสูงถึงร้อยละ 5 เป็นครั้งแรก
สเตลลา ลี (Stella Li) ผู้บริหารของ บีวายดี กล่าวเมื่อเดือนที่แล้ว บอกว่า ตัวเลขยอดขายล่าสุดนี้ ยืนยันได้ว่าผู้ผลิตรถยนต์จีนประสบความสำเร็จอย่างมากในการเจาะตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก โดยยุโรปถือเป็นภูมิภาคสำคัญที่สุดของผู้นำในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าของจีน
ซึ่งการเติบโตในยุโรปส่วนใหญ่นั้น มาจากรถยนต์ไฟฟ้าและรถไฮบริด ที่ผู้ผลิตจีนต่างใช้จุดแข็งทั้งหมดที่ตัวเองมี ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี แบตเตอรี่ และซอฟต์แวร์ ทำให้ปัจจุบันยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากลับมาอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อกลางปี 2024 ก่อนที่สหภาพยุโรป (อียู) จะกำหนดเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตจากจีน เนื่องจากการสอบสวนของ อียู ที่พบว่าเงินสนับสนุนจากรัฐบาลปักกิ่ง ช่วยให้ผู้ผลิตจีนได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า รถยนต์ไฮบริดซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของ อียู นั้น มีการเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น คือจากเดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว มีส่วนแบ่งตลาดอยู่เพียงร้อยละ 1 เท่านั้น แต่เพียง 1 ปีต่อมา แบรนด์เหล่านี้กลับมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริด อยู่ที่ร้อยละ 12 และรถไฮบริดอยู่ที่ร้อยละ 7
เฟลิเป้ มูนอซ (Felipe Munoz) นักวิเคราะห์จาก จาโต้ ไดนามิคส์ (Jato Dynamics) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านยานยนต์ ให้ข้อมูลว่า เอ็มจี ซึ่งเป็นแบรนด์รถสปอร์ตที่มีต้นกำเนิดจากอังกฤษ ปัจจุบันมีบริษัทแม่เป็นของรัฐบาลจีน ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าในอัตราร้อยละ 45 จึงตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมใหม่ (ปรับกลยุทธ์ใหม่) ด้วยการมุ่งเน้นไปที่โซลูชันที่ใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ โดยลดการขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนลง และหันไปเน้นทำตลาดในกลุ่มรถไฮบริดแทน
ส่วน บีวายดี ยังคงโดดเด่นและเพิ่มยอดขายได้ แม้จะมีภาษีนำเข้า และปัจจุบันบริษัทกำลังมุ่งเป้าไปที่กลุ่มรถที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยรุ่น ดอลฟิน เซิร์ฟ (Dolphin Surf) ซึ่งเป็นรถวิ่งในเมือง และรถอเนกประสงค์ขนาดเล็ก แอตโต 2 (Atto 2) ดังนั้น มาตรการเก็บภาษีนำเข้าของ อียู แทนที่จะหยุดการขยายตัวของแบรนด์จีนเหล่านี้ แต่กลายเป็นว่ายิ่งเป็นแรงผลักดันให้แบรนด์ต่างๆ เช่น บีวายดี ปรับกลยุทธ์และเน้นเปิดตัวรถยนต์รุ่นที่มีราคาย่อมเยาในกลุ่มรถเริ่มต้นแทน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของรถแบรนด์จีนในตลาดยุโรป ต่างจาก เทสลา ของ อีลอน มัสก์ มีสัญญาณที่ไม่ดีนัก ซึ่งยอดขายรถยนต์โดยรวมในตลาดยุโรปหดตัวต่อเนื่อง ทำให้ ล่าสุด มีรายงานว่า มัสก์ จะเข้ามารับหน้าที่ดูแลยอดขายในตลาดยุโรป รวมถึงสหรัฐอเมริกาา แทนผู้บริหารคนก่อนหน้าที่ลาออกไป
บลูมเบิร์ก รายงานว่า โอมีด อัฟชาร์ (Omead Afshar) รับผิดชอบการขายและการผลิตของ เทสลา ในอเมริกาเหนือ และยุโรป และเพิ่งลาออกเมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้ มัสก์ และ ทอม จู (Tom Zhu) ซึ่งเป็นรองประธานอาวุโส กำลังแบ่งหน้าที่ในการบริหารจัดการ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจหลังจากไตรมาส 2 เทสลา มียอดส่งมอบรถ ลดลงต่อเนื่อง
โดยแหล่งข่าวเผยว่า มัสก์ จะดูแลตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกา ส่วน จู ซึ่งอยู่ที่จีน จะยังคงดูแลยอดขายเทสลาในเอเชีย และเข้ารับหน้าที่การผลิตสำหรับตลาดทั่วโลก
การที่ มัสก์ ให้ความสำคัญกับตลาดยุโรป เป็นที่น่าสังเกตุว่าเขาจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร จากที่ก่อนหน้านี้ เขาเคยบอกว่า ยุโรปคือจุดอ่อนที่สุดของเทสลา
และเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นกับตัวเลขล่าสุด โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ของบริษัทฯ ทั่วยุโรปเมื่อเดือนพฤษภาคม ลดลงไปร้อยละ 28 ซึ่งลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และระยะ 5 เดือนแรกของปีนี้ ยอดจดทะเบียน ลดลงไปแล้วถึงร้อยละ 37
ปัจจัยหลักมาจากการที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน นำโดย บีวายดี ได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะเดียวกัน เกี่ยวกับชื่อเสียงของ มัสก์ เองก็มีส่วนทำให้ยอดขายของ เทสลา ลดลงด้วย ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า มัสก์ ถูกมองในแง่ลบในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหลัก ๆ ในยุโรป ที่รวมถึงเยอรมนี และสหราชอาณาจักร และการที่เขาสนับสนุนพรรคการเมืองและผู้สมัครฝ่ายขวาในยุโรป ยังก่อให้เกิดการประท้วงและก่อเหตุวุ่นวายในหลายประเทศในยุโรป
รวมถึงกรณีล่าสุด หลังจากการให้คำมั่นว่าจะหันกลับมาให้ความสำคัญกับ เทสลา อีกครั้ง และบทบาทในหน่วยงาน ดอจ (DOGE) ก็สิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม แต่ความสัมพันธ์ระหว่าง มัสก์ และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับเริ่มแย่ลงอย่างรวดเร็ว กรณีล่าสุด มัสก์ จุดชนวนความขัดแย้ง ด้วยการโจมตีแพ็คเกจภาษี และการใช้จ่ายมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดี รวมถึงการเรียกร้องให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองที่สาม ด้วย
นอกจากนี้ เทสลา ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ล่าสุด โดยมียอดส่งมอบรถยนต์จำนวนกว่า 384,000 คัน ลดลงถึงร้อยละ 14 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ที่ลดลงไปร้อยละ 13 โดยมียอดส่งมอบจำนวนกว่า 336,000 คัน ขณะที่มียอดผลิตจำนวน 410,244 คัน
นั่นสะท้อนให้เห็นว่า เทสลา ยังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนที่ขายรุ่นใหม่และราคาจับต้องได้ รวมถึงปฏิกิริยาทางการเมือง ต่อตัว อีลอน มัสก์
อย่างไรก็ดี รายงานดังกล่าวไม่ได้แยกยอดขายเป็นรายรุ่นของรถ และไม่ได้แยกตามรายภูมิภาค มีข้อมูลเพียงว่า รุ่นยอดนิยมที่ขายดีคือ Model 3 และ Model Y ที่มียอดผลิตรวมกันทั้งหมด 396,835 คัน และมียอดขายรวมกันจำนวน 373,728 คัน
อย่างไรก็ตาม เป็นตัวเลขต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประมาณการไว้ โดยตามประมาณการของนักวิเคระห์ที่จัดทำโดย บลูมเบิร์ก คาดว่า ไตรมาส 2 สิ้นสุดเดือนมิถุนาย เทสลา จะส่งมอบรถยนต์ได้ประมาณ 389,400 คัน ซึ่งจะลดลงประมาณร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
และคาดว่าทั้งปี 2025 เทสลา จะส่งมอบรถยนต์ได้ประมาณ 1 ล้าน 6 แสน 5 หมื่นคัน ซึ่งลดลงร้อยละ 8 จากปีที่แล้ว ที่ส่งมอบรถยนต์ได้เป็นจำนวน 1.79 ล้านคันในปีที่แล้ว
ด้านนักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีท กล่าวว่า หาก มัสก์ ต้องการบรรลุเป้าหมายให้ เทสลา กลับมาเติบโตได้ในปีนี้ จะต้องมีการส่งมอบรถเทสลาให้ได้มากกว่า 1 ล้านคันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ยอดร่วง! "Lululemon" ฟ้อง "Costco" ขายสินค้าลอกเลียนแบบ l การตลาดเงินล้าน
- เริ่ม! "มาม่า" ทุ่ม 142 ล้านบาท ซื้อหุ้น "CHAGEE" ประเทศไทย l การตลาดเงินล้าน
- "Microsoft" เลิกจ้าง 9,000 คนทั่วโลกเพื่อความคล่องตัว l การตลาดเงินล้าน
- มหกรรมแสดงศิลปะ "โคมไฟยู่หยวน" ครั้งแรกในไทย ฉลอง 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน l การตลาดเงินล้าน
- ช่างรถอิตาลี DIY รถยนต์ EV ที่แคบที่สุดในโลก ! ขับได้จริง วิ่งไกลสุด 25 กม./รอบชาร์จ