ฉากทัศน์ “แพทองธาร” คดีคลิปเสียงฮุนเซน ลาออกตัดตอน-รอศาลตัดสิน
วันที่ 29 สิงหาคม 2568ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัย “คดีคลิปเสียงฮุนเซน” ที่จะชี้ชะตาทางการเมืองของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ของไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม หลังจากมีสมาชิกวุฒิสภา 36 คน เข้าชื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า การสนทนาระหว่าง “แพทองธาร” กับ“สมเด็จฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่
ศาลฯ ได้กำหนดนัดไต่สวนพยาน ในวันที่ 21 ส.ค. 2568 เวลา 10.30 น. โดยมี 2 ปากสำคัญ ได้แก่ แพทองธาร ชินวัตร และ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ก่อนที่จะไปสู่วันวินิจฉัยในวันที่ 29 ส.ค. เวลา 15.00 น.
คดีดังกล่าว คำร้องของ 36 ส.ว. มีสาระสำคัญให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 และมาตรา 160 (4) และ (5) โดยอ้างเหตุว่า นายกฯ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
สองทางเลือก“แพทองธาร”
ก่อนถึงวันอ่านคำวินิจฉัย “แพทองธาร” มีเส้นทางอยู่เพียงสองแนวทาง คือ
1. ลาออกก่อนศาลวินิจฉัย
สถานการณ์ในสภา : เมื่อ “แพทองธาร” ลาออก รัฐบาลต้องเข้าสู่กระบวนการโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จากรายชื่อแคนดิเดตเดิม โดยพรรคเพื่อไทยยังถือเสียงข้างมากร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้สามารถผลักดันแคนดิเดตที่เหลืออยู่ขึ้นมาได้
ผู้ที่มีสิทธิถูกเสนอชื่อ ได้แก่ ชัยเกษม นิติสิริ (เพื่อไทย), พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (องคมนตรี), พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (รวมไทยสร้างชาติ), อนุทิน ชาญวีรกูล (ภูมิใจไทย) และ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (ประชาธิปัตย์)
ผลทางคดี : เมื่อไม่มีตำแหน่งนายกฯ ให้เพิกถอน ศาลย่อมจำหน่ายคดีไป ลดความเสี่ยงที่จะถูกพิพากษาลงโทษและไม่กลายเป็นบรรทัดฐานทางการเมือง
แรงกระเพื่อมในพรรค : การเลือกตัวแทนนายกฯ แทน แพทองธาร อาจเปิดศึกภายในเพื่อไทย และ ตระกูลชินวัตร สร้างแรงเสียดทานกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ต่างมีข้อเรียกร้อง
2. รอศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตา
ผลทางกฎหมาย : หากศาลวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่ง ถือว่าสิ้นสุดสถานะนายกฯ ทันที และอาจนำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต โดยยังมีคดีจริยธรรมร้ายแรงที่ ป.ป.ช. รอพิจารณาตามมา
ผลทางการเมือง : แม้พรรคเพื่อไทยสามารถเสนอแคนดิเดตใหม่ได้ แต่ภาพลักษณ์รัฐบาลจะเสียหายหนัก ฝ่ายค้านย่อมใช้โอกาสนี้ขยายแรงกดดัน ทั้งการยุบสภา หรือ ผลักดันการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล
เดิมพันสูง : หาก “แพทองธาร” รอดพ้นคดี จะกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม ในฐานะผู้นำที่ผ่านด่านศาลรัฐธรรมนูญ แต่หากแพ้ ย่อมสูญเสียทั้งตำแหน่งและชื่อในหน้าประวัติศาสตร์
เกมเดิมพันสูงของเพื่อไทย
ไม่ว่าทางใด ผลลัพธ์ย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อสมการอำนาจการเมืองไทย ในปี 2568 การ “ลาออก” ก่อนศาลวินิจฉัยจะช่วยจำกัดความเสียหายและป้องกันคำพิพากษา ที่อาจนำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมือง แต่ต้องแบกรับคำครหาว่า “หนีศาล”
ขณะที่การรอศาลตัดสิน แม้มีโอกาสสร้างความชอบธรรมใหม่ หาก “ชนะคดี” แต่ความเสี่ยงมหาศาล คือ การสูญเสียตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และการเปิดช่องให้ฝ่ายค้านเดินเกมเปลี่ยนขั้ว
สถานการณ์นี้จึงเป็น “ฉากทัศน์ชี้ชะตา” ไม่เพียงเฉพาะตัว “แพทองธาร” หากแต่ยังหมายถึงอนาคตทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และอำนาจทั้งระบบการเมืองไทย
รายงานพิเศษ โดย…ทีมข่าวการเมือง ฐานเศรษฐกิจออนไลน์