‘ปลุกความเกลียดชัง’ ด้วยรอยยิ้ม! ‘ศาสตร์มืด’ ของปัญญาชนร่วมสมัย
ภายใต้รอยยิ้มและถ้อยคำสวยหรู กลุ่มปัญญาชนบางคน ใช้ “ศาสตร์มืดของวาทกรรม” ผลักให้การปกป้องชาติถูกตีตราเป็น “ปลุกความเกลียดชัง” เหตุชายแดนไทย-กัมพูชา กลายเป็นเวทีซ้ำบทเดิม โจมตีฝ่ายที่คิดต่าง ลดทอนความน่าเชื่อถือของกองทัพ และป้อนมุมมองแคบให้สังคมเชื่อว่าเป็นความจริง ทั้งหมดนี้คือเกมภาษา ที่ซ่อนคมมีดไว้ใต้รอยยิ้ม เพื่อกรีดความแตกแยกให้ลึกลงทุกวัน
เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาล่าสุด ทำให้สังคมหันมาถกเถียงกันกว้างขวางขณะที่หลายฝ่ายพูดถึง ข้อเท็จจริง และ ความปลอดภัยของประชาชน อีกกระแสหนึ่งหันไปย้ำว่า การปกป้องชายแดน คือ “คลั่งชาติ” และ “ปลุกความเกลียดชัง”
กระแสนี้เกิดซ้ำแทบทุกครั้งที่มีเหตุร้อนด้านความมั่นคง หรือปัญหาการเมืองภายใน หัวขบวนคือ ปัญญาชน-นักวิชาการบางกลุ่ม ที่อ้างตัวเป็น ฝ่ายก้าวหน้า-นักประชาธิปไตย แต่ใช้วาทกรรม ปลุกความเกลียดชัง โจมตี ฝ่ายที่คิดไม่เหมือนตน
ในกลุ่มนี้มีทั้งผู้ที่สั่งสมชื่อเสียงมานาน และ ปัญญาชนร่วมสมัย ที่รู้จักใช้สื่อและเวทีสาธารณะอย่างแยบคาย เลือกถ้อยคำให้ดูมีหลักวิชา แต่คุมทิศทางการเล่าเรื่องเพื่อนำผู้ฟังไปสู่ข้อสรุปที่ตนต้องการ น้ำเสียงสุภาพและรอยยิ้มอาจทำให้ดูไร้อคติ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่คือ คมมีดทางความคิด
ในเสวนา คอลัมน์ และโซเชียล พวกเขาจัดถ้อยคำให้ดูเป็นกลาง แต่แก่นคือการปั้นภาพอีกฝ่ายให้กลายเป็น ตัวปัญหาของสังคม เมื่อเรื่องเล่าถูกเลี้ยงซ้ำ มันก็แข็งตัวเป็น ความเชื่อ ที่พร้อมเดินทางต่อ
ผลคือ พื้นที่ถกเถียงถูกย้ายจาก เนื้อหาและข้อมูล ไปสู่ คำกล่าวหาเดิมๆ เสียงที่ควรต่อยอดทางออก กลับถูกดันให้อยู่ในมุม ผู้ต้องแก้ตัว ตั้งแต่วินาทีแรก
การทำให้วาทกรรม “ปลุกความเกลียดชัง” ติดตลาดมีขั้นตอน เริ่มจากประโยคสั้นที่ฟังดูมีน้ำหนักในเวทีสาธารณะ ปล่อยให้ เครือข่ายผู้ติดตาม แชร์-คอมเมนต์-เสริมคำเหน็บ จนขยายเป็นกระแส
ประเด็นมักถูกผูกเข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน อย่างกรณีชายแดน คำว่า “คลั่งชาติ” และ “เกลียดชังเพื่อนบ้าน” ถูกย้ำซ้ำ จนกลบ ข้อเท็จจริงอื่น ที่ควรถูกพูดถึง
คนใช้วิธีนี้รู้ดีว่า การโจมตีเชิงภาพลักษณ์ ทำลายได้เร็วกว่าเหตุผล เมื่อใครถูกเรียกว่า“ผู้ปลุกความเกลียดชัง” สังคมจำนวนไม่น้อยพร้อมตัดสินโดยไม่รอฟัง คำอธิบายครบถ้วน
ในบรรยากาศเช่นนี้ฝ่ายที่ถูกกล่าวหา แทบไม่มีพื้นที่ชี้แจง และกลไกนี้เองที่ทำให้วาทกรรมอยู่เหนือข้อเท็จจริง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีใครอยากเห็นความขัดแย้งลุกลามเป็น สงคราม เพราะ ทุกชีวิตมีค่า โดยเฉพาะประชาชนผู้ไม่เกี่ยวข้อง การเตือนให้ระวัง ความเกลียดชังข้ามชาติ จึงมีความหมายในตัวมันเอง
ปัญหาเกิดเมื่อหลักคิดนั้นถูกใช้เป็น เครื่องมือทางการเมือง จากความห่วงใย กลายเป็นการ ตีความการปกป้องชายแดนในเชิงลบ ฝ่ายสนับสนุนภารกิจความมั่นคงถูกเหมารวมเป็น “ทหารนิยม / คลั่งชาติ”
ความต่างระหว่าง การปกป้องชีวิต กับ การปกป้องดินแดน ถูกทำให้เลือนหาย วงสนทนาหมุนไปสู่ ข้อกล่าวหา และการลดค่าคู่สนทนา แทนที่จะขยับไปหาทางลดความรุนแรงอย่างจริงจัง
นี่คือจุดที่การถกเถียงหลุดออกจาก เป้าหมายสาธารณะ และกลายเป็น สนามคะแนนนิยม ของคนที่มีฝีมือในการสื่อสารมากกว่า แทนที่จะเป็นของ ข้อมูลที่ครบกว่า
ศาสตร์มืด ของกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ที่ เสียงดัง แต่อยู่ที่ การเลือกถ้อยคำอย่างมีชั้นเชิงให้เหมือนวิเคราะห์เป็นกลาง ทั้งที่ชี้เป้าโจมตี ฝ่ายที่คิดไม่เหมือนตน อย่างเจาะจง
มักเปิดด้วยข้อมูล-สถิติ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แล้วแทรกประโยคสั้นที่มีแรง เหน็บ-เย้ย-ประชด คนอ่านจึงแชร์เพราะ ความสะใจ มากกว่าความครบถ้วนของข้อมูล
แทนที่จะโต้เนื้อหา กลับหันไปโจมตี ภาพลักษณ์ และ แรงจูงใจ ของคู่สนทนาทำให้การสนับสนุนกองทัพหรือการปกป้องชายแดน ถูกมองผ่านเลนส์ว่า “ล้าหลัง-ไม่รู้จักโลก”
เมื่อรูปแบบนี้ถูกใช้ซ้ำ ภาพลักษณ์ลบ จะฝังลึก นี่คือ ศาสตร์มืดของการสื่อสาร-ปลุกความเกลียดชัง ด้วยภาษาที่ห่อด้วย รอยยิ้มสุภาพ
กรณีชายแดนไทย-กัมพูชาล่าสุดคือ กรณีศึกษา ที่เห็นชัด เรื่องที่ควรถกบนฐาน ข้อมูลหลายด้าน ถูกย่อเหลือว่าเป็นการ เกลียดเพื่อนบ้าน
ฝ่ายที่สนับสนุนการปกป้องชายแดนถูกวางให้เป็น ผู้ปลุกความเกลียดชัง คำอย่าง“คลั่งชาติ / ทหารนิยม” ถูกย้ำ จนการพูดถึง ความมั่นคง-อธิปไตย กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูก ระแวง!
การเล่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ ข้อเท็จจริงเชิงยุทธศาสตร์ ทุกอย่างถูกโยงเข้ากับ เจตนาของฝ่ายที่คิดไม่เหมือนตน เหตุการณ์ซับซ้อนถูกย่อเป็น เรื่องเล่าแบบสองสี
เมื่อแพร่ในวงกว้าง มัน ลดทอนความเชื่อมั่น ต่อมาตรการป้องกันประเทศ และทำให้การยืนข้าง การปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ถูกมองว่าเป็นฝั่งผิด
กลุ่ม ปัญญาชนศาสตร์มืด เหล่านี้เชี่ยวชาญ การใช้ภาษา และ การจัดกรอบเหตุการณ์ ทำให้บางเรื่องถูกมองในทิศทางที่พวกเขากำหนด แต่สิ่งที่ขายได้ไม่ใช่ ข้อเท็จจริง กลับเป็น อารมณ์ที่ถูกปั้นจนสุก
แม้จะอ้าง ประชาธิปไตย-เสรีภาพ-มนุษยนิยม แต่การสื่อสารกลับพุ่งโจมตี ฝ่ายที่คิดไม่เหมือน ทำให้การถกเถียงถูกตัดขาดจาก ประเด็นสำคัญ เหลือเพียงการปะทะกันด้วย ข้อกล่าวหา และ ภาพลักษณ์บิดเบือน
ผลลัพธ์อาจไม่ครอบงำทั้งสังคม แต่เมื่อถ้อยคำเดิมๆ ถูกพูดซ้ำอย่างมีจังหวะมันค่อยๆ กัดกร่อนความน่าเชื่อถือ ของคนที่ทำงานเพื่อ ความมั่นคง-ผลประโยชน์ส่วนรวม และบีบให้สังคมมองเรื่องซับซ้อนด้วย สายตาที่แคบลงทุกวัน
แทนที่จะเปิดพื้นที่ให้ความคิดหลากหลาย เวทีถูกใช้เพื่อ ขับไล่เสียงที่ต่าง ออกจากวงสนทนา และทุกครั้งที่รอยยิ้มถูกใช้บังใบมีด ก็คือการย้ำว่า ปัญญาชนกลุ่มนี้คือผู้ปลุกความเกลียดชัง เสียยิ่งกว่าคนที่พวกเขาอ้างว่าเป็นเสียอีก.