เจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก ไร้ข้อสรุป ชาติสมาชิกยังขัดแย้ง
การหารือว่าด้วยสนธิสัญญาเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตมลพิษพลาสติกโลกที่กรุงเจนีวา สิ้นสุดลงเมื่อวันศุกร์ (15 สิงหาคม) โดยไร้ข้อตกลง หลังการประชุมถูกเลื่อนออกไปโดยมีแผนจะกลับมาดำเนินการในภายหลัง
ประเทศต่างๆ ได้ประชุมเป็นวันที่ 11 ที่สำนักงานสหประชาชาติ เพื่อพยายามจัดทำสนธิสัญญาครั้งประวัติศาสตร์เพื่อยุติวิกฤตมลพิษพลาสติก แต่ยังคงติดอยู่ในภาวะชะงักงันว่าจะให้สนธิสัญญาลดการเติบโตของการผลิตพลาสติก และกำหนดมาตรการควบคุมสารเคมีอันตรายที่ใช้ในการผลิตพลาสติกในระดับโลกที่มีผลผูกพันตามกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากพลาสติกส่วนใหญ่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
อินเกอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการบริหารโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า แม้มีความท้าทายและความผิดหวัง
เราต้องยอมรับว่ามีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ กระบวนการนี้จะไม่หยุดลง แต่ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าจะใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะได้สนธิสัญญา
เครือข่ายเยาวชนปฏิบัติการด้านพลาสติก (Youth Plastic Action Network) เป็นองค์กรเดียวที่ได้กล่าวในที่ประชุมปิดเมื่อวันศุกร์ คำแถลงจากผู้สังเกตการณ์ถูกตัดออกตามคำร้องขอของสหรัฐฯ และคูเวต หลังจากการประชุมและการเจรจายาวนาน 24 ชั่วโมง
การเจรจาที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติครั้งนี้เดิมคาดว่าจะเป็นรอบสุดท้ายและจะได้สนธิสัญญาฉบับแรกที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษพลาสติก รวมถึงในมหาสมุทร แต่เช่นเดียวกับการประชุมในเกาหลีใต้เมื่อปีที่แล้ว ทุกฝ่ายออกจากที่ประชุมโดยไม่มีสนธิสัญญา
หลุยส์ วายาส วัลดิวิเอโซ ประธานคณะกรรมการเจรจา ได้ร่างและนำเสนอร่างสนธิสัญญา 2 ฉบับในกรุงเจนีวา โดยอ้างอิงจากมุมมองที่ประเทศต่างๆ แสดงออกมา แต่ผู้แทนจาก 184 ประเทศไม่เห็นชอบให้นำร่างใดร่างหนึ่งมาใช้เป็นฐานในการเจรจา
ผลลัพธ์ที่ “น่าผิดหวัง”
ผู้แทนจากนอร์เวย์ ออสเตรเลีย ตูวาลู และประเทศอื่นๆ กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งที่ต้องออกจากเจนีวาโดยไม่มีสนธิสัญญา มาดากัสการ์ กล่าวว่า โลกกำลังคาดหวังการลงมือทำ ไม่ใช่รายงาน
เจสซิกา รอสวอลล์ กรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า สหภาพยุโรปและประเทศสมาชิกมีความคาดหวังสูงกว่านี้ต่อการประชุม แม้ร่างสนธิสัญญายังไม่ตรงตามข้อเรียกร้อง แต่ก็เป็นฐานที่ดีสำหรับการเจรจาครั้งถัดไป
โลกนี้ไม่ใช่ของเราเพียงผู้เดียว เราเป็นผู้พิทักษ์เพื่อคนรุ่นหลัง มาทำหน้าที่นั้นให้สำเร็จ
คณะผู้แทนจีนกล่าวว่าการต่อสู้กับมลพิษพลาสติกเป็นมาราธอนระยะยาว และความล้มเหลวชั่วคราวนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่เพื่อสร้างฉันทามติ พร้อมกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ ร่วมมือกันเพื่อมอบโลกสีน้ำเงินที่ปราศจากมลพิษพลาสติกให้คนรุ่นอนาคต
นักสิ่งแวดล้อม คนเก็บขยะรีไซเคิล ผู้นำชนพื้นเมือง และผู้บริหารธุรกิจจำนวนมากเดินทางมาร่วมการเจรจาเพื่อส่งเสียงของตน บางคนใช้วิธีสร้างสรรค์ แต่ก็ต้องจากไปด้วยความผิดหวัง
ประเด็นใหญ่ที่สุดของการเจรจา
คือ สนธิสัญญาควรกำหนดเพดานการผลิตพลาสติกใหม่ หรือเน้นไปที่การออกแบบ การรีไซเคิล และการนำกลับมาใช้ซ้ำแทนหรือไม่ ประเทศผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ และอุตสาหกรรมพลาสติก คัดค้านการจำกัดการผลิต และต้องการให้สนธิสัญญามุ่งเน้นไปที่การจัดการของเสียและการนำกลับมาใช้ซ้ำ
ซาอุดีอาระเบียระบุว่า ทั้งสองร่างขาดความสมดุล และผู้แทนจากซาอุดีอาระเบียและคูเวตกล่าวว่า ข้อเสนอล่าสุดสะท้อนมุมมองของรัฐอื่นๆ มากขึ้น โดยมีการกล่าวถึงการผลิตพลาสติกซึ่งพวกเขามองว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตของสนธิสัญญา
ทั้งนี้ ร่างดังกล่าวที่เผยแพร่เมื่อเช้าวันศุกร์ ไม่ได้กำหนดเพดานการผลิตพลาสติก แต่ยอมรับว่าระดับการผลิตและการบริโภคในปัจจุบันไม่ยั่งยืนและต้องการการดำเนินการในระดับโลก ภาษาที่เพิ่มเข้ามาระบุว่า ระดับเหล่านี้เกินขีดความสามารถในการจัดการของเสียในปัจจุบัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก จึงจำเป็นต้องมีการตอบสนองในระดับโลกอย่างประสานกันเพื่อหยุดและย้อนกระแสดังกล่าว
วัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาได้รับการปรับใหม่ให้มีพื้นฐานจากแนวทางครอบคลุมที่จัดการตลอดวัฏจักรชีวิตของพลาสติก โดยกล่าวถึงการลดผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีสารเคมีหรือสารเคมีที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อมรวมทั้งการลดพลาสติกใช้ครั้งเดียวหรือมีอายุสั้น
ฝ่ายอิหร่านกล่าวว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าผิดหวัง และวิจารณ์กระบวนการที่ไม่โปร่งใสและไม่ครอบคลุม ต่อองค์ประกอบที่ไม่สมจริง โดยเฉพาะสารเคมี อุตสาหกรรมพลาสติกเองก็เรียกร้องให้เกิดการประนีประนอมเช่นกัน โดย Global Partners for Plastics Circularity ออกแถลงการณ์ว่ารัฐบาลต้องก้าวข้ามจุดยืนที่ฝังแน่นเพื่อสรุปข้อตกลงที่สะท้อนลำดับความสำคัญร่วมกัน
ไร้ฉันทามติ
ข้อเสนอใดก็ตามที่จะบรรจุในสนธิสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกประเทศ
อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน คูเวต เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ระบุว่า ฉันทามติเป็นสิ่งสำคัญต่อสนธิสัญญาที่มีประสิทธิผล ขณะที่บางประเทศต้องการเปลี่ยนกระบวนการให้สามารถลงมติได้หากจำเป็น
เครือข่ายกำจัดสารมลพิษสากล (International Pollutants Elimination Network) กล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเจนีวาแสดงให้เห็นว่า “ฉันทามติตายแล้ว” สำหรับกระบวนการเดินหน้าต่อ
ทุกปี โลกผลิตพลาสติกใหม่กว่า 400 ล้านตัน
ตัวเลขนี้อาจเพิ่มขึ้นราว 70% ภายในปี 2040 หากไม่มีการเปลี่ยนนโยบาย ประมาณ 100 ประเทศต้องการจำกัดการผลิต และหลายประเทศระบุว่า จำเป็นต้องแก้ปัญหาสารเคมีเป็นพิษที่ใช้ผลิตพลาสติกด้วย