“ดร.ปณิธาน” แนะ ผู้นำไทย เร่งทำความเข้าใจ “สถานการณ์สงครามเบ็ดเสร็จ”
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ตั้งคำถามถึงผู้นำประเทศไทย พร้อมเตือนว่า หลังจากนี้ประเทศไทยอาจเจอกับ สงครามเบ็ดเสร็จสไตล์กัมพูชา (The Total War, Cambodian Style) จากการวิเคราะห์โดย รศ.ดร.ปณิธาน สามารถสรุปได้ 5 ข้อ ดังนี้
1. ศาสตราจารย์ Mara Karlin ของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins สหรัฐอเมริกา ระบุว่าศักราชใหม่ของสงครามแบบรอบด้าน (Comprehensive Conflict) ได้เริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 2022 เมื่อรัสเซียเปิดศึกบุกยูเครน เป็นการกลับมาของสงครามแบบเบ็ดเสร็จ (Total War) คล้ายๆ กับสงครามใหญ่ในอดีต
2. สงครามแบบเบ็ดเสร็จ หรือรอบด้านในปัจจุบัน หมายถึง การระดมทรัพยากรหรือสรรพกำลังต่างๆ ในทุกด้าน เช่น อาวุธ กำลังคน กำลังเงิน พลังสังคม พันธมิตรและนานาชาติ มาใช้ในการรบ โดยผู้นำจะให้ความสำคัญสูงสุดในเรื่องนี้เหนือกิจกรรมอื่นๆ และจะโจมตีทุกเป้าหมายของศัตรูในทุกโอกาสที่อำนวย แต่จะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และตลาดเสรีที่เปิดกว้าง เป็นตัวช่วยเพิ่มความได้เปรียบหากต้องรบกับประเทศที่ใหญ่กว่าหรือแข็งแรงกว่า
3. ตัวอย่างของยูเครนที่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับรัสเซียได้นานถึงกว่า 3 ปี หรือของหลายกลุ่มติดอาวุธในตะวันออกกลาง ที่สามารถล้มรัฐบาลได้หลายรัฐบาล หรือต่อสู้กับอิสราเอลได้อย่างไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติลงง่ายๆ หรือของกลุ่มฮูตีในทะเลแดงที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน สามารถคุกคามกองเรือรบที่ทันสมัยของทุกชาติได้ ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐฯ หรือชาติตะวันตกที่มีศักยภาพเหนือกว่ามาก ทั้งหมดนี้ เป็นตัวอย่างของสงครามที่เปลี่ยนแปลงไป มีความเชื่อมโยง ซับซ้อน และยาวนานมากขึ้นในศักราชนี้ (The Continuum of Conflicts)
4. กองทัพกัมพูชา หรือกองกำลังติดอาวุธตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา หรือแม้แต่กลุ่มก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ก็คงจะใช้แนวทางเบ็ดเสร็จแบบเดียวกันหากต้องการได้เปรียบในการต่อสู้กับไทย ซึ่งก็จะทำให้ความขัดแย้งเดิม ทั้งรอบบ้านทั้งตามแนวชายแดนของเรา กลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อและยาวนาน และทั้งหมดนี้ ก็ขึ้นอยู่กับผู้นำของกัมพูชา หรือของกลุ่มต่างๆ ที่จะดำรงความมุ่งหมายในการทำสงครามกับไทยได้นานเท่าไร
5. ในส่วนของไทย โดยพื้นฐานและศักยภาพ มีความได้เปรียบเพื่อนบ้านหรือกองกำลังติดอาวุธตามแนวชายแดน หรือกลุ่มก่อความไม่สงบในจชต.แทบทุกประการ แต่หลายฝ่ายก็ยังสงสัยว่าทำไมไม่สามารถเอาชนะหรือลดความเสียเปรียบในสมรภูมิจริงได้มากนัก
“ ผู้นำของไทยหรือผู้ที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ เข้าใจความขัดแย้งสมัยใหม่หรือสงครามแบบเบ็ดเสร็จแค่ไหน และที่สำคัญที่สุดคือ ผู้นำของเราตระหนักจริงหรือว่า "We are at war" เพราะถ้าเข้าใจแล้วว่าประเทศอยู่ในสภาวะสงคราม ก็จะสามารถนำพาเราไปสู่ Peace หรือสันติภาพได้ เพราะ "War and Peace" นั้น เป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่อยู่คนละด้านของเหรียญเท่านั้น” รศ.ดร.ปณิธาน ระบุทิ้งท้าย