บุญคุณของจีนที่ช่วยกู้บัลลังก์'เจ้านโรดม' ในวันที่กัมพูชาแปรพักตร์ไปคบหาสหรัฐฯ
ในช่วงทศวรรษที่ 70 กัมพูชาตกอยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองอีกทั้งยังไปพัวพันกับสงครามเวียดนามเนื่องจากรัฐบาลเจ้าสีหนุอนุญาตให้กองกำลังเวียดนามเหนือและเวียดกงเดินทางผ่านกัมพูชาได้เพื่อเข้าตีเวียดนามใต้ ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดกัมพูชาอย่างหนัก โดยที่เจ้าสีหนุเองก็เปิดทางให้ทำเช่นนั้นด้วย เพื่อหวังที่จะถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายเวียดนามเหนือ (ที่สนับสนุนโดยสหภาพโซเวียต) และฝ่ายเวียดนามใต้ (ที่สนับสนุนโดยสหรัฐฯ)
เบื้องหลังของเหตุการณ์นี้ คือ ในเวลานั้นเจ้านโรดม สีหนุ ประมุขขงกัมพูชาเริ่มเชื่อว่าชัยชนะของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และกองทัพกัมพูชาไม่อาจเอาชนะเวียดนามเหนือได้ แม้จะมีการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ก็ตาม หากกัมพูชาจะอยู่รอด เจะต้องหันไปคบค้าสมาคมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ดังนั้นในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2508 เขาได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐฯ และหันไปสนับสนุนทางการเมืองฝ่ายซ้ายและจึงหันไปพึ่งสาธารณรัฐประชาชนจีน หนึ่งในข้อตกลงระหว่างสีหนุและนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลของสาธารณรัฐประชาชนจีน คือกัมพูชาจะอนุญาตให้เวียดนามเหนือใช้พรมแดนด้านตะวันออกเพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ เพื่อรวมเวียดนามเหนือและใต้ทั้งสองประเทศเข้าด้วยกัน
แต่ไม่นาน เจ้าสีหนุก็ถูกกดดันจากสหรัฐอเมริกาให้เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้งและให้ดำเนินการทางทหารต่อต้านเขตของฝ่ายซ้าย เนื่องจากเวียดนามเหนือได้รับเสบียง 80% สำหรับปฏิบัติการทางใต้สุดผ่านสีหนุวิลล์ และจากเขมรแดงที่เพิ่งก่อตั้งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจีน ดังนั้นเจ้าสีหนุจึงหันกลับไปหาฝ่ายขวา จึงจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายขวาเพื่อกอบกู้ชาติภายใต้การนำของพลเอกลน นล (ลอน นอล) และยังสั่งระงับการขนส่งอาวุธของเวียดนามเหนือผ่านท่าเรือเมืองสีหนุวิลล์
แต่การถ่วงดุลนี้ให้ผลตรงกันข้าม กัมพูชาพังพินาศลงไปเรื่อยๆ และฝ่ายการเมืองในกัมพูชาก็เริ่มแตกแยกเป็นฝ่ายๆ ตามการแทกรแซงของมหาอำนาจในเวลานนั้น
จนกระทั่งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2513 ขณะที่สงครามเวียดนามทวีความรุนแรงขึ้น อำนาจทางการเมืองภายในประเทศของกัมพูชาอยู่ในภาวะปั่นป่วนตามไปด้วย
กลุ่มหนึ่งซึ่งมีนายกรัฐมนตรี ลน นล (ลอน นอล) และรองนายกรัฐมนตรีเจ้าสีสุวัตถิ์ สิริมตะ เป็นตัวแทน เป็นฝ่ายสนับสนุนตะวันตกและอเมริกา
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีเจ้านโรดมสีหนุเป็นตัวแทน เป็นฝ่ายสนับสนุนโซเวียต
อีกกลุ่มหนึ่งคือ เขมรแดง ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนจีน
เมื่อสงครามเวียดนามและสงครามกลางเมืองกัมพูชาร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความแตกต่างระหว่างกลุ่มการเมืองทั้งสองกลุ่มก็ขยายวงกว้างขึ้นเช่นกัน
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2513 เจ้าสีหนุสูญเสียการควบคุมรัฐบาล ในดีเดย์ก็มาถึงในวันที่ 18 มีนาคม นายกรัฐมนตรีลน นล และรองนายกรัฐมนตรีเจ้าสีสุวัตถิ์ สิริมตะ ถือโอกาสที่เจ้าสีหนุเยือนสหภาพโซเวียต และด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจในกัมพูชา ประกาศยกเลิกตำแหน่งประมุขแห่งรัฐของสีหนุ และตัดสินประหารชีวิตเขา
เจ้าสีหนุซึ่งกำลังเยือนสหภาพโซเวียต รู้สึกตกใจเมื่อทราบข่าวจากผู้นำโซเวียต แม้ยังไม่รู้จะทำเช่นไรแต่ในเช้าวันที่ 19 เจ้าสีหนุก็เดินทางจากกรุงมอสโก ถึงกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน
ผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่ โจวเอินไหล เย่เจี้ยนอิง และ หลี่เซียนเหนียน ได้เดินทางไปยังสนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่งเพื่อต้อนรับเจ้านโรดมสีหนุ รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนยังได้เชิญเอกอัครราชทูตต่างประเทศ 46 คนเข้าร่วมการต้อนรับด้วย โจวเอินไหลและคนอื่นๆ ได้จับมือและสวมกอดเจ้าสีหนุอย่างอบอุ่น โจวเอินไหลกล่าวเมื่อพบกันว่า "ท่านยังคงเป็นประมุขแห่งรัฐกัมพูชา เราจะจดจำท่านตลอดไป และจะไม่มีวันจดจำใครอื่น!"
ในช่วงสองสามวันแรก เจ้าสีหนุทรงประทับอยู่ที่อาคาร 5 ของเรือนรับรองแขกแห่งรัฐเตี้ยวอวี๋ไถในกรุงปักกิ่ง โจวเอินไหลได้พบสองครั้ง และขอให้เจ้าสีหนุวิเคราะห์และแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศกัมพูชา เจ้าสีหนุกล่าวกับโจวเอินไหลว่า "กลุ่มลน นลได้แปรพักตร์ไปสหรัฐอเมริกาและทรยศต่อมาตุภูมิ พวกเขาคือผู้ทรยศต่อประชาชนชาวกัมพูชา เพื่อเอกราชและการปลดปล่อยชาติ ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะจัดตั้งรัฐบาลผสมและเอกภาพแห่งชาติ ข้าพเจ้าหวังว่ารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจะให้ความช่วยเหลือ"
เหมาเจ๋อตง โจวเอินไหล และผู้นำจีนคนอื่นๆ เห็นด้วยกับคำขอของเจ้าสีหนุ และช่วยเขาจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นในกรุงปักกิ่ง นั่นคือ "รัฐบาลผสมแห่งชาติแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา" เพื่อช่วยให้เจ้าสีหนุกลับสู่บัลลังก์
โอกาสนี้ ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ร่วมแรง 3 ประเทศ คือ เวียดนามเหนือ ลาว และกัมพูชา (ฝ่ายของสีหนุ) เข้าด้วยกันเพื่อต่อสู้กับสหรัฐอเมริกา และเชิญนายกรัฐมนตรีฝั่ม วัน ด่ง ของเวียดนามเหนือเดินทางเยือนจีน
วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2513 ฝั่ม วัน ด่ง นายกรัฐมนตรีเวียดนามเหนือได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ เหมาเจ๋อตงและฝั่ม วัน ด่ง ได้บรรลุฉันทามติร่วมกันในการต่อต้านสหรัฐอเมริกาของทั้งสามประเทศ เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2513 นายกรัฐมนตรีฝั่ม วัน ด่ง แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม เจ้าชายสุภานุวง ประธานแนวร่วมรักชาติลาว และพระนโรดม สีหนุ ประธานแนวร่วมแห่งชาติกัมพูชา และนายกรัฐมนตรีรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติกัมพูชา เบน นู ได้จัดการประชุม "ร่วมต่อต้านสหรัฐอเมริกา" ณ เมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ที่ประชุมได้รับรอง "แถลงการณ์ร่วมของสามประเทศอินโดจีน"
ทั้งนี้ ก่อนการประชุม โจว เอินไหล ได้บินจากปักกิ่งไปยังกว่างโจวและพบปะกับผู้นำของแต่ละประเทศ โจว เอินไหล กล่าวว่า "ชาวจีน 700 ล้านคนเป็นกำลังสนับสนุนที่แข็งแกร่งของประชาชนทั้งสามประเทศอินโดจีน และดินแดนอันกว้างใหญ่ของจีนเป็นฐานที่มั่นที่มั่นคงของประชาชนทั้งสามประเทศอินโดจีน"
หลังจากที่เจ้าสีหนุเดินทางกลับปักกิ่งหลังจากเข้าร่วมการประชุม เหมาเจ๋อตงได้เข้าพบเขาที่มหาศาลาประชาชน เหมาเจ๋อตงกล่าวว่า "เรายินดีต้อนรับท่านให้มาอาศัยอยู่ในปักกิ่ง สนับสนุนการทำงานหนักของท่าน และช่วยเหลือท่านในภารกิจกอบกู้ประเทศชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้… ผมชอบคำพูดของท่าน เนื้อหาตรงไปตรงมาและจริงใจ ท่านดูเหมือนจะมีคุณสมบัติเทียบเท่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์…"
หลังจากได้ยินดังนั้น เจ้าสีหนุก็หัวเราะและกล่าวว่า "ท่านประธานเหมา ผมไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ และผมก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อประโยชน์ในการปลดปล่อยชาติและเอกราชของชาติ ผมสามารถร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเพื่อต่อสู้กับผู้รุกรานจากอเมริกาได้"
เพื่อช่วยเหลือสีหนุในการต่อต้านสหรัฐอเมริกาและกอบกู้ประเทศชาติ เหมาเจ๋อตงได้ลงนามในคำสั่งให้สนับสนุนคำขอทั้งหมดของสีหนุอย่างเต็มที่และครบถ้วน รวมถึงเงินทุนและวัสดุอุปกรณ์ โดยไม่มีข้อสงวนใดๆ
เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 เจ้าสีหนุจัดการประชุมใหญ่ครั้งแรก ณ บ้านพักรับรองของรัฐเตี้ยวอวี๋ไถ และรับรองนโยบายทางการเมืองของแนวร่วมแห่งชาติ เจ้าสีหนุได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานแนวร่วมแห่งชาติ ต่อมามีการประชุมแนวร่วมแห่งชาติอีกครั้งหนึ่งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ เจ้าสีหนุได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานรัฐบาลกัมพูชา ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะเดียวกัน คณะรัฐมนตรี 12 คนได้รับการเลือกตั้ง รัฐบาลบางส่วนจัดตั้งที่กรุงปักกิ่ง และบางส่วนจัดตั้งในพื้นที่ปลดปล่อยของกัมพูชา (พื้นที่ของเขมรแดง)
ในเวลานั้นจีนเองก็ใช่ว่าจะสงบเรียบร้อย เพราะอยู่ในช่วงของการ "ปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม" อันเป็นการกวาดล้างทางการเมืองและทางสังคมครั้งใหญ่จนเกิดความโกลาหลไปทั่ว เวลานั้นเจ้าสีหนุเคยพำนักอยู่ในบ้านพักรับรองของรัฐเตี้ยวอวี๋ไถ แต่ที่นั่นก็เป็นที่พำนักของ "แก๊งสี่คน" (แกนนำที่ก่อการปฏิวัติวัฒนธรรม) ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้สีหนุถูกโจมตีโดยแก๊งสี่คนและเกิดการรั่วไหลของความลับของรัฐ เหมาเจ๋อตงจึงสั่งให้โจวเอินไหลหาที่พำนักใหม่ให้ โจวเอินไหลจึงจัดให้สีหนุพำนักอยู่ที่เรือนรับรองตงเจียวหมินเซียง เลขที่ 15 ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งเดิมเป็นสถานทูตฝรั่งเศสและก่อนหน้านั้นเป็นวังขององค์ชายฉุนสมัยราขวงศ์ชิง ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2513 เจ้าสีหนุ พระชายา และบริวารได้ย้ายเข้ามาอยู่ในที่พำนักใหม่ โรงแรมได้เปลี่ยนชื่อเป็น "พระราชวังประมุขแห่งรัฐกัมพูชา" ที่นี่สีหนุใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ใช้เวลาไปกับการว่ายน้ำ เล่นแบดมินตัน ร้องเพลง และเต้นรำ
นอกจากนี้ ระหว่างปี พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2518 เจ้าสีหนุได้เสด็จเยือนสถานที่ต่างๆ มากมายในประเทศจีน สตูดิโอภาพยนตร์สารคดีข่าวกลางได้ถ่ายทำสารคดี 23 ชุด (รวม 68 เรื่อง) ให้กับเจ้าสีหนุ ภาพเหล่านี้ยังได้รับการเผยแพร่ในรายการ "ข่าวสั้น" ที่ฉายในโรงภาพยนตร์ด้วย นอกจากนี้ สีหนุยังถูกสาธารณชนล้อว่าเป็น "ดาราภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของจีน" เนื่องจากอัตราการปรากฏตัวของผลงานของเขาในโรงภาพยนตร์จีนมีจำนวนมากแม้แต่ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม
นักข่าวตะวันตกสัมภาษณ์เจ้าสีหนุว่า "ท่านเป็นเจ้าของกัมพูชาและเป็นชาวพุทธ ท่านได้จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในจีน ท่านอยากเป็นหุ่นเชิดของจีนด้วยหรือ?" สีหนุตอบว่า "คุณพูดไร้สาระ! ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นเชลยศึกของจีน นับประสาอะไรกับหุ่นเชิดของจีน เหตุผลที่ข้าพเจ้าพำนักอยู่ในจีนเป็นเวลานานก็เพราะจีนสนับสนุนเราในการต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ และให้ความช่วยเหลืออย่างมากมาย อีกเหตุผลหนึ่งคือผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน เหมาเจ๋อตง และนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล เป็นเพื่อนที่ดีที่เราเคารพนับถือ!"
เพื่อสนับสนุนขบวนการต่อต้านสหรัฐฯ และขบวนการกู้ชาติของเจ้าสีหนุ รัฐบาลจีนจึงจัดสรรงบประมาณ 5 ล้านหยวนให้สีหนุทุกปี ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็ส่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปยังบ้านพักของเจ้าสีหนุเพื่อรักษาความปลอดภัย ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็ให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่สีหนุโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนได้เข้าไปปฏิบัติงานในกัมพูชาและขนส่งเสบียงมายังกัมพูชาจาก "เส้นทางโฮจิมินห์" (เส้นทางที่เวียดกงและเวียดนามเหนือใช้เดินทางตัดลาวและกัมพูชาเข้าไปยังเวียดนามใต้) ในช่วงแรกมีรถเพียงไม่กี่สิบคันต่อวัน แต่ในปีพ.ศ. 2518 จำนวนรถเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 คันต่อวัน คิดเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านหยวน
ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน พ.ศ. 2516 เจ้าสีหนุได้เสด็จกลับประเทศอย่างลับๆ จากเส้นทางโฮจิมินห์เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์สงคราม ในปี พ.ศ. 2516 โจวเอินไหลได้อนุมัติให้สร้างบ้านพักตากอากาศสำหรับเจ้าสีหนุ ณ บ่อน้ำพุร้อนอันหนิง เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นหนึ่งในพระราชวังของพระสีหนุในประเทศจีน แต่เจ้าสีหนุไม่เคยเสด็จเยือนบ่อน้ำพุร้อนอันหนิงเลย
หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2513 พระนางสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ กุสุมะ พระมารดาของพระสีหนุ ถูกรัฐบาลกัมพูชาชุดใหม่บังคับให้เสด็จออกจากพระราชวัง และถูกกักบริเวณในบ้านพักตากอากาศในเขตชานเมือง ในปี พ.ศ. 2516 ด้วยการไกล่เกลี่ยของโจวเอินไหล พระนางได้รับอนุญาตให้เสด็จไปปักกิ่งเพื่อพบกับพระโอรสเนื่องด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ พระนางสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ กุสุมะสินพระชนม์ที่ประเทศจีนในอีกสองปีต่อมา
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 เขมรแดง หรือพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ได้เข้ายึดครองกัมพูชาได้สำเร็จ รัฐบาลของลน นลพ่ายแพ้ กัมพูชาได้รับการปลดปล่อยจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีน เจ้าสีหนุจึงเดินทางกลับกัมพูชาและขึ้นครองราชย์อีกครั้ง ขณะที่เหมาเจ๋อตง และโจวเอินไหล ล้มป่วยหนัก พวกเขาจึงขอให้เติ้งเสี่ยวผิงและเย่เจี้ยนอิง ไปส่งเจ้าสีหนุ รวมแล้วสีหนุไลี้ภัยห้าปีในจีน และก่อนเสด็จกลับ เจ้าสีหนุได้ประพันธ์บทกวี "มาตุภูมิที่สองที่รักของข้า" มีเนื้อหาว่า "โอ้! จีนอันรุ่งโรจน์และยิ่งใหญ่ ข้าขอคารวะท่าน ข้ารักท่านสุดหัวใจ และถือว่าท่านคือมาตุภูมิที่สองของข้า!"
อย่างไรก็ตาม กัมพูชาในยุค "กัมพูชาประชาธิปไตย" กลับยุ่งเหยิงและนองเลือดยิ่งกว่าเดิมภายใต้การปกครองของเมรแดง หลังจากกลับกัมพูชาไม่นาน เจ้าสีหนุถูกกักบริเวณในพระราชวังโดยพล พต ผู้นำเขมรแดง
จนกระทั่งกองทัพเวียดนามบุกกัมพูชา เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2522 เมื่อกองทัพเวียดนามโจมตีพนมเปญ พล พต ได้ขอให้เจ้าสีหนุนำคณะผู้แทนกัมพูชาประชาธิปไตยไปนิวยอร์กเพื่อเข้าร่วมการประชุมพิเศษของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โอกาสนี้เองที่เจ้าสีหนุซึ่งได้รับอิสรภาพกลับคืนมาได้บินไปปักกิ่งในวันที่ 6 มกราคม เมื่อถึงแล้วก็ได้รับการต้อนรับจากเติ้งเสี่ยวผิงที่สนามบินกรุงปักกิ่ง และออกเดินทางไปนิวยอร์กในวันที่ 9 มกราคม
ส่วนกองทัพเวียดนามบุกพนมเปญในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2522 และขับไล่เขมรไปจนมุมที่ชายแดนไทยในที่สุด แต่ก็ยังมีอำนาจและเคลื่อนไหวในพื้นที่ภาคตะวันตกของกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม เจ้าสีหนุยังอยู่ภายใต้การตดตามของคณะผู้แทนกัมพูชาประชาธิปไตยหรือเขมรแดง แม้จะอยู่ในสหรัฐอเมริกาแล้วก็มักถูกติดตามโดยสมาชิกเขมรแดง เจ้าสีหนุไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบหนีไปยังคณะผู้แทนสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอเมริกัน และพยายามขอลี้ภัยทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาลวอชิงตัน
ในที่สุด สีหนุก็ออกจากนิวยอร์กในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 และบินไปยังปักกิ่งผ่านโตเกียวและเซี่ยงไฮ้ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ไม่นานหลังจากนั้น สงครามจีน-เวียดนามก็ปะทุขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้บั่นทอนการเคลื่อนไหวของกองทัพเวียดนามในกัมพูชา
เจ้าสีหนุลี้ภัยในจีนต่อไป คราวนี้ยาวนานยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก จนกระทั่งภายหลังการลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการยุติความขัดแย้งทางการเมืองอย่างครอบคลุมในกัมพูชาเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2534 เจ้าสีหนุก็ได้เสด็จออกจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 และเสด็จกลับพนมเปญหลังจากเสด็จหายไปจากบ้านเกิดเมืองนอนเกือบ 13 ปี
คราวนี้ไม่มีเขมรแดงคอยรบกวนใจเจ้าสีหนุอีก แต่มีกลุ่มอำนาจใหม่ที่ที่ต้องต่อกรด้วย นั่นคือ เขมรเฮง สัมรินที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม
หนึ่งในสมาชิกดาวรุ่งของของกลุ่มนี้ คือ ฮุน เซน ผู้ซึ่งเจ้าสีหนุจะต้องช่วงชิงอำนาจด้วยต่อไปอีกหลายปี
ทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ภาพแฟ้มนี้เผยแพร่โดยหน่วยงานทางการจีน ถ่ายเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 แสดงให้เห็นประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตง (ซ้าย) โบกมือให้ฝูงชน ขณะที่รองประธานาธิบดีหลินเปียว (กลาง) ชูหนังสือปกแดงของเหมา ขณะเข้าเฝ้าฯ เจ้านโรดม สีหนุ (ขวา) ทรงปรบมือระหว่างการชุมนุมใหญ่ ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง ภาพ CHINA OUT (ภาพโดย XINHUA / AFP)