‘MOU 43-44’ ไทยเสียเปรียบกัมพูชาจริงหรือไม่ ทำไมหลายฝ่ายเรียกร้องให้ยกเลิก?
ประเด็นเรื่องบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทยและกัมพูชา ปี 2543 และ พ.ศ.2544 กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งในสังคมไทย พร้อมคำถามสำคัญว่า “ไทยเสียเปรียบจริงหรือไม่?”
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีวาระสำคัญคือการพิจารณาญัตติด่วนว่าด้วยการศึกษาความเป็นไปได้ในการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ แต่การประชุมกลับถูกสั่งปิดกะทันหันก่อนที่จะได้เข้าสู่วาระอภิปราย
ทั้งนี้ญัตติดังกล่าวเสนอโดยนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย โดยมีเป้าหมายให้สภาฯ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาว่าไทยควรยกเลิก MOU 2543 และ 2544 หรือไม่ เนื่องจากถูกมองว่ากระทบต่อผลประโยชน์ของชาติทั้งด้านเขตแดน พลังงาน และความมั่นคง
‘MOU 2543’ เขตแดนบนบกและข้อพิพาทที่ยืดเยื้อ
MOU 2543 หรือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ที่กรุงพนมเปญ มีเป้าหมายในการจัดทำกรอบการทำงานร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อกำหนดเส้นเขตแดน โดยอ้างอิงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1904 และ 1907
โดยสาระสำคัญของ MOU นั้น กำหนดให้ทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายแดนระหว่างรอผลการสำรวจ แต่ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา มีรายงานว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงมากกว่า 600 ครั้ง ทั้งการปรับพื้นที่ ขยับกำลังทหาร และการวางกับระเบิด ฝ่ายไทยจึงต้องยื่นประท้วงอย่างต่อเนื่อง
‘MOU 2544’ พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลและพลังงาน
ต่อมาไทยและกัมพูชาได้ร่วมลงนามใน MOU 2544 หรือ บันทึกความเข้าใจพื้นที่ทับซ้อนของไหล่ทวีป ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ครอบคลุมพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร เพื่อร่วมกันสำรวจและพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียม (Joint Development Area: JDA)
อย่างไรก็ตาม MOU 44 ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะแผนที่แนบท้ายที่กัมพูชาลากเส้นอ้างสิทธิเข้าถึงเกาะกูดของไทย ซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่าเป็นการตีความที่ขัดต่อกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าเกาะกูดยังคงเป็นของไทยโดยสมบูรณ์ โดยมีทั้งหลักฐานทางกฎหมายและประวัติศาสตร์รองรับ ในขณะที่นักวิชาการบางส่วนธิบายว่าเส้นนั้นเป็นเพียงการอ้างสิทธิไม่ใช่เขตแดนที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
ไทยเสียเปรียบกัมพูชา?
กลุ่มที่ผลักดันให้ยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ เห็นว่าไทยกำลังเสียเปรียบกัมพูชา โดย ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรีรองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า ต้นตอความขัดแย้งย้อนกลับไปถึงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี 1904 และ 1907 เพราะใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศจริง รายละเอียดน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขวาง และไม่เคยได้รับการรับรองจากฝ่ายไทย แต่กลับถูกนำมาใช้อ้างสิทธิจนก่อให้เกิดข้อพิพาทต่อเนื่อง
ในขณะที่ MOU 44 ยังถูกวิจารณ์ว่ารับรองเส้นอ้างสิทธิกัมพูชาที่ลากจากหลักเขต 73 จังหวัดตราดผ่านเกาะกูดเข้าไปกลางอ่าวไทย ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยไทย อีกทั้ง MOU ทั้งสองฉบับไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จึงอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ด้านพรรคภูมิใจไทยได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องทุกพรรคสนับสนุนการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ พร้อมย้ำว่าแม้ไม่มี MOU ไทยและกัมพูชาก็ยังสามารถเจรจาทวิภาคีได้
MOU คือเกราะป้องกัน?
ในขณะเดียวกัน นายรัศม์ ชาลีจันทร์อดีตเอกอัครราชทูตและผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อธิบายว่า MOU 43-44 เป็นเพียงกรอบเจรจาไม่ใช่สัญญาเสียดินแดน
อีกทั้งการยกเลิกฝ่ายเดียวไม่อาจทำให้พันธกรณีหมดไป และสุดท้ายหากกลับมาเจรจากันใหม่ก็ต้องจัดทำกรอบลักษณะเดียวกันขึ้นมาอีก
นายรัศม์ เน้นย้ำว่า กัมพูชาคือฝ่ายที่ละเมิด MOU หากไทยยกเลิก จะเท่ากับปลดพันธกรณีให้กัมพูชาเดินเรื่องในเวทีระหว่างประเทศได้สะดวกขึ้น เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ดังนั้น ‘ยิ่งยกเลิกก็ยิ่งเข้าทางกัมพูชา’
ด้านนายกัณวีร์ สืบแสงส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เสริมว่า ปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาต้องแก้ด้วยการเจรจา ไม่ใช่การทหาร และ MOU คือกลไกสำคัญที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องกลับมานั่งโต๊ะพูดคุย หากไม่มีข้อตกลงใดรองรับ ย่อมไม่สมควรยกเลิก
กว่า 20 ปีที่ผ่านมา MOU ทั้งสองฉบับกลายเป็นประเด็นข้อถกเถียงอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเป็นพันธนาการที่ทำให้ไทยเสียโอกาสและอธิปไตย ขณะที่อีกฝ่ายมองว่า ‘MOU’ จะเป็นเกราะป้องกันที่กดดันให้กัมพูชาเข้าสู่โต๊ะเจรจาได้ ขณะนี้รัฐบาลไทยยังคงยืนยันว่าควรรักษา MOU 2543 และ 2544 ไว้เพื่อเป็นกรอบการเจรจาต่อไป