‘อุ๊งอิ๊ง’ รอดหรือไม่รอด ลุ้นกันพรุ่งนี้ แต่ถึงแม้จะรอด รัฐบาลก็ยังร่อแร่
(28 ส.ค. 68) ผมมานั่งใช้ดุลยพินิจถึงทางออกของประเทศในสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ต่างประเทศ ชายแดน มันเหมือนมะรุมมะตุ้มกันเต็มไปหมด ประชาชนเริ่มเข้าสู่ภาวะอดอยาก ค่าครองชีพสูง ค่าแรงต่ำ การดำรงชีวิตยากไปหมด หันซ้ายมองขวาก็เต็มไปด้วยปัญหาสารพัด ไม่รู้จะเอาตัวรอดในวิกฤตนี้ได้หรือไม่ แต่จำเป็นต้อง “กัดก้อนเกลือกิน ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ”
มองไปที่ฝ่ายการเมืองซึ่งเป็นกลไกหลักในการบริหารประเทศ หลายเดือนผ่านมา ก็ยังไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันว่าจะมีช่องทางในการช่วยเหลือชาวบ้านได้ ค่าไฟฟ้า ค่าพลังงานที่สร้างราคาคุยกันไว้ก็เห็นสยบนิ่งไปกับการถูกบีบโดยทุนพลังงาน ดิ้นไม่ออกยิ่งดิ้นเกลียวยิ่งแน่นเข้ามา อันเกิดจากพรรคการเมืองก็ปฏิเสธระบบทุนไม่ได้ เพราะระบบการเลือกตั้งบ้านเราเดินไปสู่ Money politics ชาวบ้านทุกยาก เดือดร้อนแร้นแค้น เงิน 300/500 มาอยู่ต่อหน้าคว้าไว้ก่อน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าลูกไปโรงเรียนรออยู่ เงินทุกบาทจึงมีความหมายสำหรับชีวิต
รัฐบาลก็ป้อแป้ๆ เหมือนมวยเมาหมด แต่พี่เลี้ยงก็ไม่ยอมโยนผ้า หมัดเด็ดในการน็อคก็ไม่มีหรือมีก็น้ำหนักไม่พอใจ
รัฐบาลนี้จะอยู่หรือไป จึงไม่ใช่มือในสภา (ฝ่ายค้าน/รัฐบาล) หรือมวลชนต่อค้านนอกสภา รอบทำเนียบ อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้เป็นชี้ตายออกมาอย่างไรกับข้อกล่าวหา ‘อุ้งอิ๊ง-แพทองธาร’ นายกรัฐมนตรีละเมิดจริยธรรมร้ายแรงในการคุยกับฮุนเซนและคลิปหลุดออกมาจากฝ่ายฮุนเซน ซึ่งพรุ่งนี้ (29 สิงหาคม) ศาลนัดอ่านคำวินิจฉัย
แนวทางของอุ๊งอิ๊งในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 แม้นในพรรคเพื่อไทยจะมั่นใจว่า ‘รอด’ แต่อุ๊งอิ๊งก็ไม่กล้าพอจะไปฟังคำตัดสินที่ศาล แต่ไปรอฟังผลอยู่ทำเนียบ สส.เพื่อไทยก็ไม่มีใครไปศาลนัดรวมพบกันที่พรรคแล้วยกขบวนไปให้กำลังใจนายกฯที่ทำเนียบ
ลาออกก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย ไม่ใช่ทางเลือกของเพื่อไทย อาจจะมั่นใจต่อการเจรจาต่อรอง หรือดีลต่างๆ
นักการเมืองและนักวิเคราะห์หลายรายประเมินว่า หากแพทองธารเลือกลาออกก่อนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นี่อาจเป็น “ทางออกที่ปลอดภัย” ที่จะช่วยลดแรงกระเพื่อมทางการเมืองและหลีกเลี่ยงการตัดสินที่อาจมาแรงเกินไป แต่อย่าลืมว่าไม่มีข้อบังคับใดเขียนไว้ว่า ลาออกแล้ว ศาลจะยกเรื่องให้ไม่หยิบขึ้นมาพิจารณา เช่น กรณี พิชิต ชื่นบาน ลาออกแล้ว แต่ศาลยังพิจารณา และตัดสิทธิ์ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เพราะถือว่าความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว ‘อุ๊งอิ๊ง’ จึงลากตัวเองไปเสี่ยงเอาดาบหน้าดีกว่า
กรณีศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิด
หากไม่ลาออกก่อน ศาลอาจจะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม 2568ว่าการกระทำของแพทองธารเข้าข่าย “ผิดจริยธรรมร้ายแรง” ซึ่งหากศาลตัดสินว่า “ผิดจริง” จะทำให้เธอพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที และส่งผลให้จุดจบทางการเมืองของเธออาจมาถึงในทันที และต้องสรรหานายกรัฐมนตรีกันใหม่ ซึ่งเพื่อไทยมีแค่ชัยเกษม นิติศิริ เป็นตัวเลือกสุดท้าย
น่าสนใจว่าหากตัดสินว่า “รอด” ศาลวินิจฉัยว่าไม่ผิด หรือผิดไม่ร้ายแรง อุ๊งอิ๊งมีโอกาสนั่งต่อในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ความท้าทายภายในพรรคเพื่อไทยและในรัฐบาลยังไม่จบง่าย ๆ โดยเฉพาะเรื่องความไว้วางใจและแรงสนับสนุนที่สั่นคลอน
การที่อุ๊งอิ๊งเลือกใช้ภาษา “บกพร่องโดยขาดประสบการณ์” เป็นโล่ทางการเมือง เลือกใช้วลีนี้เพื่อชี้ว่าความผิดพลาดเกิดจากวัยและประสบการณ์ที่ยังไม่ชำนาญ ไม่ใช่มีเจตนาทุจริต แต่แตกต่างจากที่ทักษิณเคยใช้ว่า “บกพร่องโดยสุจริต” ซึ่งกลายเป็นปมทางวิชาการและสังคมต่อมา
คอการเมืองก็รอลุ้นอย่างเดียวว่าจะออกหัวหรือก้อย