กทม.ของบปี69 ติดตั้งเครื่องวัดแรงสั่นแผ่นดินไหว 8 แห่ง 12 ล้านบาท
วันที่ 6 ส.ค.68 ที่ศาลาว่าการ กทม. นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงโครงการติดตั้งเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวบนอาคารสูงว่า ในปีงบประมาณ 2569 กทม.เสนองบประมาณโครงการดังกล่าวจำนวน 12 ล้านบาท เน้นติดตั้งบนอาคารสูงในโรงพยาบาลที่เคยสำรวจไว้ 8 แห่ง ซึ่งบางแห่งอาจมีอาคารสูงมากกว่า 1 อาคาร โดยเครื่องดังกล่าวปัจจุบันมีราคาประมาณเครื่องละ 1.5 ล้านบาท ทั้งนี้ อาจมองว่าตัวเครื่องมีราคาแพง แต่เนื่องจากรวมอยู่ในค่าจ้างที่ปรึกษาประเมินโครงสร้างอาคารด้วย ซึ่งแต่ละอาคารรับแรงสั่นได้ไม่เท่ากัน การประเมินเพื่อยืนยันความปลอดภัยว่าโครงสร้างแต่ละอาคารรับแรงสั่นได้เท่าใด ก่อนอพยพคน
เหตุผลในการติดตั้งคือ เนื่องจากที่ผ่านมาโรงพยาบาลมีการอพยพผู้ป่วยเมื่อเกิดแผ่นดินไหว การติดตั้งเครื่องดังกล่าวจะทำให้ทราบได้ว่าอาคารสามารถทนแรงสั่นได้เท่าใด โดยไม่ต้องอพยพคนออกทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหว ขณะเดียวกัน หากแรงสั่นเกินเกณฑ์ที่แต่ละอาคารรับได้ ก็สามารถอพยพคนออกได้ทัน ให้ความมั่นใจในความปลอดภัยยิ่งขึ้น
นายวิศณุ กล่าวว่า เครื่องดังกล่าวเป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้เก็บข้อมูลในการออกแบบความแข็งแรงของอาคารได้ สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้อาคาร และสามารถนำข้อมูลที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวหรืออาคารถล่ม เช่น ความแข็ง-อ่อนของดินในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นแอ่ง รวมถึงปัจจัยเรื่อง เรโซแนนซ์หรือคลื่นกำทอน หรือคลื่นที่ออกมาจากแหล่งกำเนิด และคลื่นที่ออกมาจากสภาพดินแต่ละพื้นที่ หากมาชนกันในความถี่เดียวกัน จะทำให้คลื่นแรงขึ้น เป็นเหตุผลว่า แผ่นดินไหวที่เมียนมาที่ผ่านมา เหตุใดกรุงเทพฯ จึงได้รับผลกระทบแรงกว่าจังหวัดระหว่างทาง เพราะทั้งสองคลื่นดังกล่าวมาชนกันพอดี
ด้านการป้องกันในอนาคตมีแนวทางให้ความรู้เรื่องการติดตั้งและอ่านค่าเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว เน้นอาคารเก่า อาคารที่อพยพคนได้ยาก รวมถึงสนับสนุนให้มีการรายงานค่าแรงวัดที่ได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเครื่องดังกล่าว เป็นผลงานจากนักวิจัยประมาณ 30-40 คน โดยใช้ทุนสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งเริ่มติดตั้งที่ จ.เชียงใหม่ เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวบ่อย เพื่อจะทราบได้ว่าควรอพยพคนในพื้นที่หรือไม่ กทม.เห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาทดลองติดตั้งที่อาคารธานีนพรัตน์เป็นแห่งแรก และนำเรื่องเข้าสภากรุงเทพมหานคร เพื่อพิจารณาติดตั้งเครื่องดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น แต่ในขณะนั้นสภา กทม.ไม่อนุมัติ เนื่องจากมองว่ายังไม่คุ้มค่า และการนำเสนอรายละเอียดโครงการยังไม่ชัดเจน ปัจจุบันมีการเสนอโครงการในปีงบประมาณ 2569 อีกครั้ง อยู่ระหว่างการพิจารณาเห็นชอบสภา กทม.