‘ปิติ‘ ชี้ระเบียบโลกระส่ำ ผู้นำต้องไม่สับสน ‘ยึดผลประโยชน์ชาติ’ ยกคำ 'ปรีดี’ ไม่ตกเป็นสมุนมหาอำนาจ
‘ปิติ‘ ชี้ระเบียบโลกระส่ำ ผู้นำต้องไม่สับสน ‘ยึดผลประโยชน์ชาติ’ ยกคำ ‘ปรีดี’ ไม่ตกเป็นสมุนมหาอำนาจ
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ จัดงานเสวนา PRIDI Talks #32 : “อนาคตไทย–อาเซียน: ความร่วมมือเพื่อสันติภาพท่ามกลางระเบียบโลกใหม่” โดยมี รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวนำเปิดงานในหัวข้อ “สันติภาพในอาเซียนและไทยภายใต้ระบบพหุขั้วอำนาจ”
จากนั้นเข้าสู่ช่วงเสวนา โดยมีวิทยากรได้แก่ รศ.ดร.มารค ตามไท อาจารย์ประจำสาขาวิชาสันติศึกษา ม.พายัพ, ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน, นายจักรภพ เพ็ญแข ที่ปรึกษาของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการโดย อ.ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในตอนหนึ่ง รศ.ดร.ปิติกล่าวว่า ตนคิดว่าความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ กลายเป็นสิ่งที่เราได้ยินตลอดเวลา ซึ่งต่างฝ่ายต่างใช้เครื่องมือทางภูมิเศรษฐศาสตร์ในการห้ำหั่นกัน จนเป็น new normal ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ระเบียบโลกที่ถูกกำหนดขึ้นโดยสหรัฐฯ ซึ่งพยายามขึ้นเป็นมหาอำนาจขั้วเดียว ภายหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง โลกาภิวัตน์ที่เคยเชื่อเรื่องการค้าการลงทุนเสรี ลดระเบียบต่างๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งโลก ให้เอกชนมีกรรมสิทธิ์เป็นผู้เล่นหลัก เป็นต้น ขับเคลื่อนด้วยระบบตลาด แน่นอนมันทำให้เกิดการแตกตัวของห่วงโซ่ อุปทาน ระดับนานาชาติ
“วิธีคิดที่เราคุ้นชินมาตลอด หลังสงครามเย็น ถูกท้าท้ายมาตลอดจากชาตินิยม การหวาดกลัวชาวต่างชาติ แล้วมันจะพัฒนาไปสู่รูปแบบใดในจุดสมดุลใหม่
แน่นอนว่า ในเวลาเปลี่ยนผ่าน ผมมองว่าระเบียบโลกจะมี 3 เสาหลัก ที่เชื่อมโยงผูกโยงเข้าด้วยกัน คือ
1. Realpolitik การเมืองระหว่างประเทศแบบสัจนิยม ที่เน้นการบรรลุเป้าหมายโดยไม่สนใจวิธีการ
”ชัดเจนว่า ทรัมป์ ยื่นมือเข้าไปในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการหยุดยิงระหว่าง ปากีสถานกับอินเดีย ระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือเมื่อคืนนี้ก็เพิ่งเจรจากับปูติน โดยที่ไม่สนใจเลยว่ายูเครนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจาหรือเปล่า
โดยที่แลกเอาเรื่องของเศรษฐกิจและความมั่นคง แต่วัตถุประสงค์จริงๆ อาจจะเป็นเพียงเพื่อให้ ทรัมป์ ได้รางวัล Nobel peace prize ซึ่งก็ต้องมาตั้งคำถามต่อว่า มันเป็นเสรีภาพที่ยั่งยืน หรือเสรีภาพที่ถูกกดทับ“ รศ.ดร.ปิติชี้
2.วิธีการคิดแบบ transactionalism ซึ่งเราเริ่มเห็นว่า ในภาวะที่ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์รุนแรง รัฐบาลมักใช้ยุทธศาสตร์ที่เน้น ‘การดีล’ เน้นการแลกเปลี่ยนโดยเน้นผลประโยชน์เฉพาะหน้า มากกว่าที่จะยอมเสียสละผลประโยชน์บางประการของแต่ละฝ่าย
เราเริ่มเห็นเทรนมาแล้ว เพราะในอดีตบางประเทศยอมรับอำนาจอธิปไตยของตนเพื่อผลประโยชน์ที่ดีกว่าของภูมิภาค เช่น กรณีการเกิดขึ้นของ สหภาพยุโรป และอาเซียน หรือกลุ่มเอเชียฯใต้ เมื่อความขัดแย้งระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน ปะทุ SAARC ความร่วมมือของเอเชียใต้ก็ประชุมสุดยอดผู้นำไม่ได้ตั้งแต่ปี 2016
ในขณะที่อาเซียนยังคงท้าทาย เดินหน้าการรวมกลุ่มที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และกำลังจะมีติมอร์-เลสเต ที่กำลังจะเพิ่มเข้ามาเป็นประเทศที่ 11 ด้วย
รศ.ดร.ปิติกล่าวต่อว่า เสาหลักที่ 3 คือ Nonstate actors คือ ’บทบาทของผู้เล่นที่ไม่ใช่ภาครัฐ‘ อาจจะเป็นบริษัทข้ามชาติ อย่างเช่น บริษัทของทรัมป์เอง หรือบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง huawei google tiktok เป็นต้น หรือแม้แต่กองกำลังติดอาวุธที่มีอิทธิพลมากๆ
“เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ โปรเฟสเซอร์ที่วอชิงตันดี.ซี บอกว่าเป็น Multiplex world โลกหลายศูนย์อำนาจ (พหุศูนย์อำนาจ) มากขึ้น ไม่มีผู้จัดระเบียบ ความหลากหลายในมิติการเมืองความมั่นคงเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จะมีความแตกต่างหลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงกันและกันมากขึ้น ซึ่งเรามีการเชื่อมโยงกันผ่านโซเชียลมีเดียทุกอย่างเป็นเรียลไทม์
ดังนั้น ผู้เล่นหลัก ณ ปัจจุบัน ทั้งผู้ที่เป็น ’ผู้สร้างระเบียบโลก ‘ และเป็น ’ผู้ที่ทำลายระเบียบโลก’ ไม่ใช่ภาครัฐอีกต่อไป ไม่ใช่มหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่ง แต่มันจะเป็นบทบาทขององค์การ ของความร่วมมือระดับภูมิภาค บทบาทของผู้เล่นที่ไม่ใช่ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทข้ามชาติ ต่างๆ ที่เชื่อมโยงผลประโยชน์เข้าไว้ด้วยกัน
”แน่นอนว่าในภาวะที่ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความระส่ำระสาย ไม่สนใจวิธีการ ตัวผู้เล่น แต่พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนทุกอย่าง ข้ามแม้กระทั่งมิติเศรษฐกิจและความมั่นคง สิ่งที่ทุกประเทศต้องยึดถือก็คือ ‘การรักษาผลประโยชน์ของชาติ’
ดังนั้นหากผู้นำของประเทศอยู่ในภาวะสับสนระหว่าง ‘การรักษาผลประโยชน์ของชาติ’ กับ ‘การรักษาหรือสร้างความงอกเงยให้กับผลประโยชน์ส่วนตัวของครอบครัว’ แล้ว ประเทศนั้นๆ ก็จะอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง เพราะผู้นำที่เลวร้ายเหล่านั้นอาจจะพร้อมนำผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศไปแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ส่วนตัว เป็นเรื่องที่เราควรต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษในภาวะเช่นนี้“ รศ.ดร.ปิติชี้
รศ.ดร.ปิติ กล่าวต่อว่า ถ้าถามว่าสมดุลใหม่จะเดินหน้าไปถึงจุดไหน ส่วนตัวมองว่า จะเกิดกระบวนการที่เรียกว่าพัฒนาจาก mini-lateralism ไปสู่ flexible multilateralism ก็คือการรวมกลุ่มของประเทศใดน้อยไม่เกิน 3-5 ประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะเรื่อง ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน เน้นประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการตัดสินใจ
หลังจากนั้นถ้าหากหลายประเทศเห็นชอบด้วยว่าถูกต้อง ก็จะพัฒนาไปสู่ flexible multilateralism คือการรวมกลุ่มของประเทศที่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่ได้ผูกมัดเป็นพันธะกรณีตายตัวเหมือน พหุภาคี ที่มีความอุ้ยอ้าย อย่าง WHO กว่าจะทำอะไรได้ต้องใช้เสียงกว่า 160 ประเทศที่ต้อง Say yes ด้วยกันทั้งหมด
“ดังนั้นภายใต้การเข้าสู่สมดุลใหม่ในระยะยาว อาเซียนจะกลายเป็นบทบาทที่มีความสำคัญมากๆ ในการทำให้ประเทศขนาดกลางอย่างไทย เราสามารถเล่นบทบาทนำในเวทีนี้ได้อย่างเหมาะสม แปลว่าไทยและอาเซียนจะสามารถกำหนดทิศทางความร่วมมือเพื่อไปสู่ ‘สันติภาพ’ ไม่ว่าจะเป็นความยั่งยืนด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ เราต้องเน้นเรื่องพวกนี้มากยิ่งขึ้น เหมือนที่อาเซียนเองตั้งสิ่งที่เรียกว่า Zone of Peace, Freedom and Neutrality (ZOPFAN) ขึ้นมา จะเป็นโซนที่พูดถึงเรื่อง freedom และความเป็นกลาง” รศ.ดร.ปิติระบุ
รศ.ดร.ปิติ ยัฃยิบยกคำกล่าวของ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งประมวลจากที่เคยให้สัมภาษณ์สื่อถึงบทบาทของไทยกับชาติมหาอำนาจ โดยบอกว่าประเทศไทยควรรู้จักวิธีการ ‘ดำเนินนโยบายยืดหยุ่นเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ‘ เราควรดูตัวอย่างในอดีตที่ รัชกาลที่ 5 ได้ทรงทำไว้ในสมัยนั้น ไทยเราต้องดำเนินนโยบายเป็นกลางและนำประเทศชาติรอดมาได้เพราะมีการถ่วงดุลแห่งอำนาจ ซึ่งเราต้องยอมรับว่าในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านตกอยู่ภายใต้อำนาจ ของประเทศมหาอำนาจ เรารอดพ้นจากอำนาจของระบบจักรวรรดินิยม มาได้ ก็ด้วยการดำเนินนโยบายที่ยืดหยุ่นนั่นเอง
“หากเราย้อนหลังไปดูประวัติศาสตร์จะพบว่า ผู้ที่ส่งกองทัพออกไปรุกรานนอกดินแดนของตนนั้น ในที่สุดก็จะมีแต่ประสบความปราชัยย่อยยับทุกคราวไป ไม่ว่าจะเป็นกองทัพของฮิตเลอร์ ของนโปเลียน กองทับของโซเวียตก็มาพังในอัฟกานิสถาน กองทัพของอเมริกาก็มาพังในตะวันออกกลาง
ไทยควรทำการค้ากับทุกประเทศ โดยไม่ต้องไปมัวพะวงอยู่กับเรื่องการเมืองของประเทศนั้นๆ ท่านปรีดี ยังยกตัวอย่าง จีนแผ่นดินใหญ่ ที่ใช้ดุลพินิจของตนเอง เพราะเขาคำนึงถึงผลประโยชน์ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจแห่งชาติเป็นเรื่องสำคัญ
”อาจารย์ปรีดียังเคยตอบคำถามด้วยว่า ไทยเราจะหวังพึ่งสหรัฐอเมริกาได้เพียงไหน อาจารย์ตอบ โดยท่านโควตคำพูด ของพระพุทธศาสนาเรื่อง ‘อัตตาหิอัตโนนาโถ’ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน) โควตคำพูดของศาสนาคริสต์ที่ว่า ’ช่วยตัวเองก่อนพระเจ้าถึงจะช่วยท่าน’
ในวันหนึ่งถ้าสหรัฐฯ ต้องประสบความยุ่งยากทางการเงินและการภายในหลายอย่างเขาก็ต้องช่วยตัวเองเขาเองก่อน จะหวังให้เขามาทุ่มเทกำลังคนกำลังทรัพย์มาช่วยไทยเราอย่างไม่อั้นประตูนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
แต่สมัยปัจจุบัน ต่างประเทศมีวิธีการช่วยให้เปล่า (แน่นอนว่าอันนี้อาจจะแอพพลายได้กับกรณีของจีน) ซี่งก็เป็นประโยชน์ หากไม่ได้เงื่อนไขทางตรงหรือทางอ้อม ที่จะทำให้ชาติเรากลายเป็นลูกสมุนของเขาไป‘
ดังนั้นที่คุณถามว่า จะพึ่งสหรัฐได้เพียงใด คือ ’เพียงที่เราเป็นตัวของเราเอง’ ตามพุทธวัจนดังกล่าวแล้ว และความช่วยเหลือนั้น ต้องไม่ก่อให้เกิดเงื่อนไขที่ทำให้เราตกเป็นสมุนของเขาไป
“ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ปรีดีพูด ตอนที่ท่านอยู่ฝรั่งเศส มันสะท้อนความเป็นจริงมาจนถึงวันนี้ เราอาจจะต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มากขึ้น เพื่อนำไปสู่การถ่วงดุลทางยุทธศาสตร์
ซึ่งในอดีตเราเรียกว่านโยบาย ‘ไผ่ลู่ลม’ เพราะต้นไผ่ที่ดี คือมีรากลึก เหมือนกระดูกสันหลังที่ดี ต้องเอนซ้าย ขวา หน้า หลัง ได้โดยที่เจ้าตัวไม่ปวดหลัง” รศ.ดร.ปิติกล่าว และว่า
เพราะฉะนั้น bamboo diplomacy นโยบายการทูตที่มีกระดูกสันหลังในการที่จะรักษาสมดุลและเล่นบทบาทนำของไทยในเวทีอาเซียน เพื่อสร้างสันติภาพ ท่ามกลางระเบียบโลกใหม่ มันต้องเกิดขึ้นจาก
1.ผู้นำรักษาประโยชน์ของชาติ
2.เราต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อสร้างสมดุลนี้ให้ได้ อาจจะต้องทำวิจัยอย่างหนัก นักการต่างประเทศที่ทำงานกับเอกชนและภาคประชาสังคม กับ policy maker ถ้าเราอยากจะมีที่ยืนในเวทีโลกเราต้องทำอย่างนั้น
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘ปิติ‘ ชี้ระเบียบโลกระส่ำ ผู้นำต้องไม่สับสน ‘ยึดผลประโยชน์ชาติ’ ยกคำ ‘ปรีดี’ ไม่ตกเป็นสมุนมหาอำนาจ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th