“ผิดใจให้เปิดกฎ ผิดกฎให้เปิดใจ” คำพิพากษาคดี ‘เมย ภคพงษ์’ ตอกย้ำวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดในกองทัพ
วันนี้ (23 กรกฎาคม) ที่อาคารรัฐสภา วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีการเสียชีวิตของ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ ‘เมย’ อายุ 19 ปี นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมทหาร หลังถูกรุ่นพี่สั่งธำรงวินัยจนหมดสติ ก่อนที่จะเสียชีวิต เมื่อ 17 ตุลาคม 2560
“ตอนนี้ทุกคนโฟกัสไปที่คำพิพากษาของศาลทหารสูงสุด จำคุก 4 เดือน 16 วัน รอลงอาญา 2 ปีปรับ 15,000 บาท ผู้ที่กระทำยังรับราชการต่อไป 1 นายเป็นทหาร อีก 1 นายเป็นตำรวจ กลัวว่าจะเป็นเยี่ยงอย่างให้เกิดพฤติกรรมและวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดในกองทัพ แล้วกองทัพจะเป็นกองทัพได้อย่างไร” วิโรจน์กล่าว
วิโรจน์ยกคำที่ว่า “ผิดใจให้เปิดกฎ ผิดกฎให้เปิดใจ” ผิดกฎให้เปิดใจคือ เมื่อทำความผิดชั่วช้าอย่างไร แต่ถ้ายังสยบยอมภายใต้ระบบอุปถัมภ์ ภายใต้ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องก็ยังอยู่กันได้ วิ่งเต้นช่วยกันได้ ส่วนผิดใจให้เปิดกฎ ฝ่าฝืนไม่ยอมทำตามคำสั่งรุ่นพี่รุ่นน้อง ก็พร้อมที่จะเปิดกฎหมายและระเบียบทุกตัวอักษรเพื่อเล่นงาน วัฒนธรรมแบบนี้ กองทัพจะเป็นที่ไว้วางใจของพี่น้องประชาชนได้อย่างไร
ประธานคณะกรรมาธิการการทหารยังฝากถึงนายกรัฐมนตรีได้เวลาต้องลงสัตยาบันในพิธีสารเลือกรับอนุสัญญาต่อต้านการซ้อมทรมาน (OPCAT) จะทำให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเข้ามาตรวจกองทัพเรื่องการซ้อมทรมานได้ โดยไม่ต้องแจ้งให้กองทัพทราบล่วงหน้า มีคณะอนุกรรมการจากสหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบได้
“หลายคนกังวลว่าการเข้ามาจะพัวพันด้านความมั่นคงหรือไม่ เขาเข้ามาตรวจสอบเฉพาะเรื่องการซ้อมทรมานตามซอกตึกในค่าย ไม่ใช่ตรวจสอบภารกิจด้านความมั่นคง หากบอกว่าการซ้อมทรมานเป็นภารกิจด้านความมั่นคงอย่างนี้ไม่ใช่กองทัพ เป็นกองโจร หวังว่าจะมีการลงสัตยาบันในพิธีสาร OPCAT เร็ววันนี้” วิโรจน์ระบุ
วิโรจน์ยังกล่าวถึง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่ตกไปในวาระ 2 และ 3 ของสภาฯ พรรคเพื่อไทยเคยทำแคมเปญ ‘ล่าทหารขึ้นศาลพลเรือน’ แต่พรรคเพื่อไทยกลับปัดตกเอง ทั้ง ขัตติยา สวัสดิผล สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ก็เคยอยู่ในโปสเตอร์แคมเปญนี้ ในเมื่อมันไม่มีความหมาย แต่คณะกรรมาธิการฯ จะรับจบในเรื่องนี้เองล่ารายชื่อ ภายในไม่กี่วันนี้จะยื่นเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาอีกครั้ง
ด้าน ชยพล สท้อนดี สส. กทม. พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการทหาร กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียหาย แม้ว่าคดีจบลงไปแล้วแต่คำตัดสินยังเกิดคำถามจากสังคม รวมถึงการตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ของศาลทหาร ที่มีกรอบอำนาจพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของกองทัพ และผลลัพธ์ทำให้ประชาชน ที่เป็นคู่ขัดแย้งของกองทัพ ได้รับความเดือดร้อน เหมือนไม่ได้รับความยุติธรรม
ชยพลกล่าวในฐานะศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร โดยอ้างอิงถึงรูปคดีและบุคคลที่เกี่ยวข้องมีความน่าสงสัย มีช่องว่างว่าข้อมูลยังถูกเล่าไม่ครบถ้วน โดยหยิบยกเรื่องวิธีการลงโทษที่ไม่ได้มาตรฐานคือการหัวปักไปยังตะแกรงน้ำ และเวลาลงโทษนอกเวลานอน และตั้งคำถามถึงผู้บังคับบัญชาที่มีความรับผิดชอบในการดูแลนักเรียนภายใต้สังกัด ไม่มีสิทธิ์ที่จะอ้างว่าไม่รู้และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินการนอกเหนือกฎ
“ถึงเวลาที่กองทัพจะต้องตระหนักรู้ว่าตัวเองควรมีมาตรฐานที่ไม่ใช่แค่เขียนไว้ในกระดาษ และประกาศกันเองเท่านั้น แต่ต้องบังคับใช้อย่างเข้มงวด ทุกครั้งที่มีการสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลทหารหรือนักเรียนเตรียมทหาร กองทัพมักพูดตลอดว่า ตัวเองมีระเบียบชัดเจนว่าห้ามกระทำการล่วงละเมิด หรือเกินเลย ห้ามทำเกินกรอบอำนาจ แต่ว่าสุดท้ายยังเกิดขึ้นอยู่ดี และกองทัพเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยบังคับใช้มาตรฐานอย่างเท่าเทียม กลายเป็นว่า เกิดวัฒนธรรมขอใจ วัดใจกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายจบที่การสูญเสีย” ชยพลกล่าว