เอาแล้ว! เพจดังเผยเคส "โค้ชฟิตเนสจีน" ติดเชื้อเอชไพโลไร "เจ๊หงส์"
กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล สำหรับเรื่องราวของ "เจ๊หงส์" หรือ นายเจียว หรือที่คนรู้จักกันในชื่อ Sister Hong แห่งเมืองหนานจิง ประเทศจีน โดยต่อมาได้มีการขนานนามว่า "ลุงแดงหนานจิง" (Nanjing Uncle Red) ซึ่งได้อ้างว่ามีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายกว่า 1,000 คน รวมทั้งยังแอบถ่ายคลิปนำไปขาย ก่อนจนถูกจับกุมตามที่ข่าวเสนอไปแล้วนั้น
วันที่ 18 ก.ค. 68 ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดัง เจ้าของแฟนเพจ "หมอแล็บแพนด้า" โพสต์ข้อความระบุว่า เมื่อวานโค้ชฟิตเนสหนุ่มชาวจีนรายนึง จากเมืองหนานจิง ได้ออกมาบอกว่าติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori หรือ ‘เอชไพโลไร’จากเจ๊หงส์ และแพทย์ก็ยืนยันว่าติดจริง
ซึ่งเชื้อ ‘เอชไพโลไร’ ตัวเนี้ย! สามารถตรวจเจอในน้ำลายของคนที่ติดเชื้อได้ จึงเป็นไปได้ที่เชื้อแพร่ทางนี้ แต่แค่การจูบอย่างเดียวโอกาสติดเชื้ออาจไม่สูงเท่ากับช่องทางอื่น ๆ ไม่ได้จูบแล้วติดทุกคนเสมอไป มันขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อในน้ำลายของอีกฝ่าย ระยะเวลาการจูบ หรือพวกแผลในช่องปาก
แสดงว่าจูบกันดูดดื่ม ดุเดือดอยู่เหมือนกันนะนี่ 5555 เจ๊มันร้าย
กลไกที่แน่ชัดในการติดต่อ อาจจะยังไม่เป็นที่เข้าใจทั้งหมด แต่ช่องทางการติดต่อ มีประมาณนี้ครับพี่แจ็ค!
1. การติดต่อทางปากสู่ปาก (Oral-oral route)
2. การติดต่อทางอุจจาระสู่ปาก (Fecal-oral route): "ขี้เข้าปาก" เป็นช่องทางที่พบบ่อยกว่า ถ้าใครเข้าห้องน้ำแล้วล้างมือไม่สะอาด เชื้อก็อาจจะไปปนเปื้อนในอาหารหรือน้ำได้ แล้วเราก็กินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว แล้วเข้าสู่ร่างกายทางปากได้
ห๊ะ!!! หรือเลียตรงนั้นโดยตรง
3. การใช้ช้อนส้อม จาน หรือแปรงสีฟันร่วมกับผู้ติดเชื้อก็ติดต่อกันได้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะได้รับเชื้อตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะจากคนในครอบครัวที่ติดเชื้อ
พอเชื้อเข้าสู่ร่างกายทางปาก มันก็จะเดินทางไปหาบ้านในฝันของมันที่ชื่อว่า กระเพาะอาหาร แล้วมันจะใช้กลไกดิ้นรน กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดในกระเพาะอาหารที่มีแต่กรดเข้มข้น: เช่น
- การเคลื่อนที่ไปหาเกาะกับเซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหารอย่างแน่นหนา กระเพาะบีบตัวยังไงมันก็ไม่หลุด
- จากนั้นมันจะสร้างเอนไซม์ที่ชื่อว่า ยูรีเอส (urease) เพื่อเปลี่ยนยูเรียในกระเพาะอาหาร ให้กลายเป็นแอมโมเนียและคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งแอมโมเนียทำให้ความเป็นกรดรอบๆ ตัวแบคทีเรียเป็นกลาง มันเลยอยู่รอดได้
- แถมมีกลไกหลีกเลี่ยงการถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันได้ด้วย
นอกจากมาอยู่บ้านเราแล้ว มันยังเนรคุณสร้างสารพัดพิษร้ายมาป่วนเซลล์กระเพาะเราอีกครับ เช่น
- CagA: สารตัวนี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลาทำให้เซลล์อักเสบเรื้อรัง และที่น่ากลัวคือมันเพิ่มความเสี่ยงให้เซลล์นั้น กลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้ในอนาคต!
- VacA: สารนี่ก็ร้ายไม่แพ้กันครับ มันจะทำให้เซลล์กระเพาะเราตาย ทำให้ผนังกระเพาะอ่อนแอลง
พอเจ้า H. pylori มันป่วนในกระเพาะเรานาน ๆ เข้า ก็จะเกิดโรคไม่ดีตามมาครับ ทำให้:
- กระเพาะอักเสบเรื้อรัง: อันนี้เบสิกสุด ๆ ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นกระเพาะอักเสบเรื้อรังหมดเลย มักจะ "ไม่แสดงอาการ"กว่าจะรู้ตัวก็ตอนเป็นเยอะแล้ว
- แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก: อันนี้แหละครับที่ทำให้คนปวดท้องจี๊ด ๆ! เพราะการอักเสบเรื้อรังและสารพิษของ H. pylori ทำให้ผนังกระเพาะและลำไส้เล็กส่วนต้นอ่อนแอลง พอเจอฤทธิ์กรดในกระเพาะ ก็เลยกัดเซาะจนเป็น "แผล" ขึ้นมาได้ไงล่ะครับ
- มะเร็งกระเพาะอาหาร: เจ้าเชื้อก่อการร้าย H. pylori นี่ถูกยกให้เป็น สารก่อมะเร็งชนิดที่ 1 ที่องค์การอนามัยโลกออกหมายจับมันไว้เลยนะครับ โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่มี CagA มันจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารขึ้นไปอีกหลายเท่า!
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง MALT ของกระเพาะ: เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่งที่เกิดในกระเพาะ! ซึ่งเกือบทั้งหมดเกิดจาก H. pylori นี่เอง
รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมรักษาสุขภาพอนามัยกันด้วยนะคร้าบ เจ๊ไปหาเหยื่อต่อก่อนนะ 5555
ขอบคุณ เพจ หมอแล็บแพนด้า