Mitsubishi Destinator ครอสส์โอเวอร์ 7 ที่นั่ง เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่อินโดนีเซีย
All-New Mitsubishi Destinator ครอสส์โอเวอร์ 7 ที่นั่งรุ่นใหม่ล่าสุด ที่เปิดตัวครั้งแรกในโลก ที่ประเทศอินโดนีเซีย สานต่อกลยุทธ์สำคัญของ Mitsubishi ในตลาดอาเซียน นี่คือการเดิมพันครั้งสำคัญที่มาพร้อมกับคำถามมากมาย ทั้งในเรื่องของพแลทฟอร์ม สมรรถนะ และตำแหน่งทางการตลาดที่แท้จริง
ณ งาน Aikindo Indonesia International Auto Show ครั้งที่ 32 (GIIAS 2025) มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชัน ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการยานยนต์อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว All-New Mitsubishi Destinator เอสยูวีขนาดกลาง 3 แถว 7 ที่นั่ง อย่างเป็นทางการครั้งแรกของโลก การเปิดตัวครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ แต่คือการประกาศย่างก้าวที่ 3 ของ "กลยุทธ์ระดับโลกที่ถือกำเนิดในอินโดนีเซีย" ต่อจากความสำเร็จของ Xpander และ Xforce
ทาคาโอะ คาโต้ ประธาน และซีอีโอของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส กล่าวอย่างชัดเจนว่า Destinator ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด “Confidence Booster for Energetic Families” หรือ “เพิ่มความมั่นใจให้ครอบครัวที่มีพลังชีวิต” สะท้อนเป้าหมายที่ต้องการให้รถคันนี้เป็นยานพาหนะคู่ใจสำหรับครอบครัวนักผจญภัยยุคใหม่ ที่พร้อมจะก้าวออกไปค้นหาจุดหมายใหม่ๆ อย่างมั่นใจ
เบื้องหลังการพัฒนา และพแลทฟอร์ม แม้ Mitsubishi จะยังไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการทั้งหมด แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูล และแนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์พบว่า Mitsubishi Destinator ไม่ได้เป็นเพียงการนำ Xforce มาขยายร่าง แต่เป็นการพัฒนาขึ้นบนพแลทฟอร์มใหม่ ที่อาจมีการใช้ชิ้นส่วน หรือพื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับรถยนต์ในกลุ่ม Renault-Nissan-Mitsubishi Alliance เพื่อความคุ้มค่าในการพัฒนา
Destinator ถือกำเนิดจากรถยนต์ต้นแบบ DST Concept ที่เคยจัดแสดงในงาน Philippine International Motor Show ปี 2024 ชื่อ "Destinator" ถูกจดเครื่องหมายการค้าในอินโดนีเซีย สะท้อนถึงการวางแผนมาเป็นอย่างดี เพื่อเจาะตลาดนี้โดยเฉพาะ
ตัวรถใช้ภาษาการออกแบบล่าสุดของค่ายอย่าง Advanced Dynamic Shield ที่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง และทันสมัย กระจังหน้าแบบอะคริลิกใสซ้อนทับลายรังผึ้งด้านใน สร้างมิติที่หรูหรา ไฟหน้า และไฟท้ายรูปทรง T-Shape คือเอกลักษณ์ที่ยกมาจาก Xforce แต่ถูกขัดเกลาให้ลงตัวกับมิติของรถที่ใหญ่ขึ้น ผสานความแข็งแกร่งดุดันของ SUV เข้ากับความพรีเมียม และเส้นสายที่ปราดเปรียวได้อย่างน่าสนใจ
Destinator มีตำแหน่งทางการตลาดอยู่ระหว่าง Xpander Cross และ Pajero Sport อย่างชัดเจน มีการวิเคราะห์ว่า ตัวรถอาจใช้พแลทฟอร์ม CMF-B หรือ CMF-C ของกลุ่มพันธมิตร ซึ่งเป็นพแลทฟอร์มแบบ Monocoque ขับเคลื่อนล้อหน้า แตกต่างจาก Pajero Sport ที่เป็นแบบ Body-on-Frame (PPV) ขับเคลื่อนล้อหลัง/สี่ล้อ ทำให้ Destinator มีบุคลิกที่เน้นความนุ่มนวล และคล่องตัวในเมืองมากกว่าการลุยหนักแบบ PPV แท้ๆ
Mitsubishi Destinator มีมิติตัวถัง ยาว 4,680 มม. กว้าง 1,840 มม. สูง 1,780 มม. และมีฐานล้อยาวถึง 2,815 มม. พร้อมระยะต่ำสุดจากพื้น (Ground Clearance) 214 มม. เมื่อนำไปเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มเอสยูวีพื้นฐานเก๋ง (Monocoque) อย่าง Honda CR-V (ยาว 4,691 มม.) จะพบว่า Destinator มีความยาวที่ใกล้เคียงกันมาก แต่จุดที่สร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญคือฐานล้อที่ยาวกว่า โดย Destinator มีฐานล้อยาวถึง 2,815 มม. เทียบกับ 2,700 มม. ของ CR-V ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อพื้นที่ห้องโดยสารแถวที่สอง และสาม ที่กว้างขวางกว่า
หากมองไปยังกลุ่มรถยนต์ PPV ที่ครองตลาดอยู่ Destinator จะมีเรือนร่างที่กระชับกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยสั้นกว่า Toyota Fortuner (4,795 มม.) และ Isuzu MU-X (4,850 มม.) เล็กน้อย ทำให้มีความคล่องตัวในเมืองมากกว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าทึ่งคือแม้ตัวถังจะสั้นกว่า แต่ฐานล้อของ Destinator กลับยาวกว่าของ Fortuner (2,750 มม.) และใกล้เคียงกับ MU-X (2,855 มม.) แสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่เน้นการขยายพื้นที่ภายในให้มากที่สุด (Maximize Cabin Space) ซึ่งเป็นจุดขายหลักของรถยนต์ประเภทนี้
ภายในห้องโดยสาร คือจุดขายสำคัญที่ Mitsubishi ต้องการชูความเป็นพรีเมียม โดยมีพื้นที่กว้างขวางกว่ารถในระดับเดียวกัน เบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง
เบาะแถวที่ 2 แยกพับแบบ 40:20:40 และแถวที่ 3 แยกพับ 50:50 จอแสดงผลหน้าจอมาตรวัดดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว และหน้าจอกลางระบบสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว ครั้งแรกกับหลังคากระจก Panoramic Roof และไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร Ambient Light 64 สี เครื่องเสียง Dynamic Sound Yamaha Premium
ขุมพลังของ Destinator คือเครื่องยนต์รหัส 4B40 เบนซิน 4 สูบ DOHC 1.5 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged และ Intercooler พร้อมระบบวาล์วแปรผัน MIVEC กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ CVT เครื่องยนต์บลอคนี้ถูกปรับจูนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน ควบคู่ไปกับการใช้เทอร์โบเพื่อสร้างแรงบิดที่ทรงพลังในรอบต่ำ ตอบโจทย์การใช้งานในเมือง และเร่งแซงได้อย่างมั่นใจ
โดยมาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ผสานเทคโนโลยีควบคุมทุกล้อของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัย การควบคุมรถบนถนนที่มั่นใจได้ รวมถึงบนเส้นทางทุรกันดาร ระบบนี้ผสานรวมระบบควบคุมที่หลากหลาย ระบบ Active Yaw Control : AYC ซึ่งปรับแรงขับเคลื่อนของล้อหน้าซ้าย และขวา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าโค้ง ระบบควบคุมการยึดเกาะถนนเพื่อควบคุมการลื่นไถลของยาง รวมถึงระบบควบคุมเครื่องยนต์ และพวงมาลัยเพาเวอร์
ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 5 โหมด ซึ่งปรับให้เหมาะกับสภาพพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน โหมด Wet ออกแบบเพื่อรองรับถนนเปียกโดยเฉพาะ, โหมด Tarmac (ถนนยางมะตอย ) มอบการควบคุมที่คล่องแคล่ว และแม่นยำบนถนนลาดยางที่คดเคี้ยว, โหมด Normal ให้ความสมดุลที่ดีเยี่ยมสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน, โหมด Gravel ช่วยลดการลื่นไถล และมั่นใจได้ถึงการควบคุมที่แม่นยำบนถนนลูกรัง และโหมด Mud ให้การควบคุมที่ทรงพลังแม้บนเส้นทางที่เป็นโคลน
ช่วงล่างปรับแต่งเพื่อความสบายบนถนนอาเซียน ระบบช่วงล่างด้านหน้าใช้ระบบกันสะเทือนแบบแมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังใช้ระบบกันสะเทือนแบบทอร์ชันบีม ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ทางตรง และควบคุมรถได้อย่างแม่นยำ พร้อมเพิ่มความสบายในการขับขี่ นอกจากการทดสอบอย่างละเอียดบนเส้นทางจำลองถนนในญี่ปุ่นแล้ว ระบบช่วงล่างยังได้รับการประเมิน และปรับแต่งอย่างละเอียดในประเทศอินโดนีเซียหลายครั้ง เพื่อมอบการขับขี่ที่นุ่มนวล และสะดวกสบายยิ่งขึ้น แม้บนพื้นผิวขรุขระ หรือพื้นผิวที่ไม่เรียบ พวงมาลัยได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงการขับขี่ในอาเซียน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการกลับรถบ่อยครั้ง จึงมีรูปทรงที่กระชับมือ และอัตราทดเกียร์ที่ตอบสนองได้ดี เพื่อความคล่องตัวในการกลับรถ และจอดรถ
เทคโนโลยีด้านความปลอดภัย จัดเต็มด้วยระบบ Diamond Sense ซึ่งประกอบด้วย Adaptive Cruise Control (ACC), ระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM), ระบบเตือนจุดอับสายตา (BSW) และอื่นๆ ครบครัน พร้อมถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
การเปิดตัวในอินโดนีเซียคือหมุดหมายแรก ตามด้วยแผนการทำตลาดในอาเซียน (เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, ไทย), เอเชียใต้, ลาตินอเมริกา, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ในอินโดนีเซียกระแสตอบรับถือว่าดีเยี่ยม ด้วยดีไซจ์นที่ลงตัว ออพชันจัดเต็ม และเครื่องยนต์เทอร์โบที่หลายคนรอคอย คาดว่าจะสร้างยอดขายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และเป็นอีกหนึ่งเสาหลักให้กับ Mitsubishi ในอินโดนีเซีย
สำหรับ ประเทศไทย มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการนำ Mitsubishi Destinator เข้ามาเปิดตัว และจัดจำหน่าย แหล่งข่าวในวงการคาดการณ์ว่าอาจจะได้เห็นกันภายในปี 2025 เพื่อเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาดครอส์โอเวอร์ เอสยูวี และเป็นทางเลือกใหม่ให้กับครอบครัวชาวไทยที่มองหารถยนต์ 7 ที่นั่ง ที่ให้ทั้งความสบาย สมรรถนะ และความปลอดภัยในคันเดียวกัน พร้อมอาวุธเด็ดคือ เครื่องยนต์เทอร์โบ และออพชันที่เหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน การมาถึงของมันจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาด SUV-D Segment อย่างแน่นอน และเป็นที่น่าจับตาว่าเมื่อถึงเวลาที่เปิดตัวในประเทศไทย จะสามารถเขย่าบัลลังก์ของเจ้าตลาดได้สำเร็จหรือไม่