ไทยเจรจาการค้าสหรัฐฯ ไม่จบ หวั่นกดตลาดหุ้นร่วงอีก เปิดกลยุทธ์ลงทุน เอาตัวรอดอย่างไร ?
ตลาดหุ้นไทยกลับมาเผชิญความกังวลอีกครั้ง จากที่เคยต้องจับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจน ล่าสุด ปัจจัยกดดันจากต่างประเทศก็เข้ามาซ้ำเติม หลังผลการเจรจาการค้าและภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกายังไม่ได้ข้อสรุป และจำเป็นต้องกลับมาทบทวนท่าทีกันใหม่
ทั้งนี้ เหลือเวลาอีกเพียง 2 วัน ก่อนที่สหรัฐฯ จะถึงกำหนดประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากหลายประเทศทั่วโลก
โดยมีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามใน "จดหมายแจ้งอัตราภาษี" สำหรับ 12 ประเทศแล้ว และเตรียมจะจัดส่งในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ อาจเรียกเก็บระหว่าง 10% ถึงสูงถึง 70% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าที่เคยมีการประเมินไว้ก่อนหน้าด้วย
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ได้ให้ความเห็นไว้ในบทวิเคราะห์ว่า การเจรจาที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ทำให้ไทยต้องเตรียมจัดทำข้อเสนอใหม่ ซึ่งอาจรวมถึงการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ทั้งสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรม, พลังงาน และเครื่องบินโบอิ้ง เพื่อตั้งเป้าลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าสูงถึง 4.6 หมื่นล้านเหรียญ ให้ลดลง 70% ภายใน 5 ปี
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงก่อนทราบผล แนะนำ "Wait and See" หรือการถือเงินสดไว้ในพอร์ตประมาณ 5-10% อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) ถือเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยสะสมหุ้น เนื่องจากดัชนีในระดับปัจจุบันมี Valuation ที่น่าสนใจ ประกอบกับการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ในปีนี้ยังคงแข็งแกร่ง
แม้ประเด็นด้านภาษีจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นไทย แต่ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าดัชนีไม่น่าจะทำจุดต่ำสุดใหม่ เนื่องจากอำนาจต่อรองของสหรัฐฯ เริ่มลดลง ด้วยเหตุผล 4 ประการ คือ
- สหรัฐฯ เพิ่งเจรจาสำเร็จเพียง 2 ประเทศ หากตั้งกำแพงภาษีสูงเกินไปอาจเจอการตอบโต้กลับ
- นโยบาย OBBBA ของสหรัฐฯ เองทำให้ประเทศขาดดุลเพิ่มขึ้น ทำให้รับความผันผวนของตลาดพันธบัตรได้น้อยลง
- ไทยยังมีโอกาสได้อัตราภาษีในระดับ +/-20% เพราะหากสูงกว่านี้จะเกิด Supply Shock และสหรัฐฯ ก็ได้ประโยชน์น้อยลง
- ไทยยังต้องระมัดระวังข้อต่อรองอื่นๆ ที่สหรัฐฯ อาจหยิบยกขึ้นมาเพิ่มเติม
ดังนั้น ในระยะสั้นจึงแนะนำหลบเข้าหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศ (Domestic Play) เช่น CPALL, CPAXT, M, LH, AP, SIRI, BDMS, และ BCH เป็นต้น
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) คาดว่าดัชนีในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,100-1,140 จุด โดยตลาดหุ้นจะผันผวนหนักจากผลการเจรจาการค้า ซึ่งอาจออกมาได้ทั้งบวกและลบ อย่างไรก็ตาม หากผลการเจรจาของคู่ค้ารายใหญ่อื่นๆ เช่น จีน ออกมาในทิศทางที่ดี ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดโดยรวมได้เช่นกัน
ขณะที่บรรยากาศการเมืองในประเทศยังอยู่ในภาวะสุญญากาศเพื่อรอความชัดเจน ส่งผลให้กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ต้องเน้นการเก็งกำไรระยะสั้น และดักเก็บหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมาลึก (Laggard)
สำหรับกลยุทธ์ที่ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) แนะนำคือ การสลับขายทำกำไรและเลือกซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น โดยเน้นหุ้นที่ราคาลงมาลึก มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีปันผลดี
โดยหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ ได้แก่ OSP, STA, JMT, CRC, SCGP, HANA, AMATA, และ SPRC เป็นต้น
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : Thairath Money
- LINE Official : Thairath