สงครามข้อมูล ชายแดนเดือด กัมพูชาเสริมกำลัง-ไทยสู้ด้วยการทูต
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง หลังมีการเสริมกำลังทหารและตรวจพบโดรนปริศนาเหนือน่านฟ้าไทย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องปัญหาสแกมเมอร์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเกมภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนของกัมพูชา
ความตึงเครียดตามแนวชายแดน
กัมพูชา เสริมกำลังทหาร ตามแนวชายแดนไทยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีการพบเห็น โดรนไม่ทราบฝ่าย บินเหนือน่านฟ้าไทย ซึ่งยิ่งเพิ่มความกังวล ด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีรักษาการของไทยยืนยันว่าสถานการณ์ยังคงเป็นไปตามขั้นตอนปกติ ไม่มีการกดดันกองทัพในเรื่องนี้
นอกจากนี้ มีรายงานการจับกุม ทหารกัมพูชา 20 นาย ที่ยอมจำนนเนื่องจากกระสุนหมด ทหารเหล่านี้ได้รับการดูแลตามอนุสัญญาเจนีวา และมีกำหนดส่งตัวกลับประเทศในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
กลยุทธ์ภูมิรัฐศาสตร์ของกัมพูชา
ผศ.ดร.มาโนชญ์ อารีย์ ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิเคราะห์ว่าการเคลื่อนไหวของกัมพูชาไม่ใช่แค่ปัญหาศูนย์คอลเซ็นเตอร์ แต่เป็น กลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อน โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ:
ดึงการสนับสนุนจากจีน: กัมพูชามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน และต้องการการสนับสนุนจากมหาอำนาจรายนี้
ผูกสัมพันธ์กับสหรัฐฯ: พยายามมีส่วนร่วมและได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ เพื่อสร้างสมดุลอำนาจ
เชื่อมโยงกับรัสเซีย: มีการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกับรัสเซีย และอาวุธบางส่วนอาจมาจากรัสเซีย
กัมพูชากำลังใช้กลยุทธ์ "สร้างพันธมิตรกับมหาอำนาจ" เพื่อให้ประเทศเหล่านี้แข่งขันกันเองเพื่อชิงอิทธิพลและการสนับสนุนจากกัมพูชา
สงครามข้อมูลและการทูตเชิงรุก
กัมพูชาใช้ โซเชียลมีเดียอย่างหนัก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป็นผู้รุกราน โดยมีวิดีโอเผยแพร่บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ กระทรวงแรงงานกัมพูชายังออกแถลงการณ์แสดงความกังวลเรื่องการคุกคามแรงงานกัมพูชาในไทย ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลวิธีในการกดดันไทย ขณะที่สมาคมนักข่าวกัมพูชาก็กล่าวหาสื่อไทยว่าบิดเบือนข้อมูล
การตอบสนองและกลยุทธ์ของประเทศไทย
ประเทศไทยตอบโต้ด้วย การทูตสาธารณะ ที่แข็งขัน เช่น การขึ้นป้ายโฆษณาที่ไทม์สแควร์ เพื่อนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องต่อประชาคมระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการจัดให้ทูตและสื่อต่างชาติ เยี่ยมชมพื้นที่ชายแดน เพื่อแสดงหลักฐานความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีของกัมพูชา ซึ่งรวมถึงพื้นที่พลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างโรงพยาบาลและโรงเรียน
ไทยได้ อุทธรณ์ต่อสหประชาชาติ สองครั้ง โดยเน้นย้ำถึงการลดความตึงเครียดและการแก้ไขปัญหาทางการทูต และมีข้อเสนอที่จะนำคดีขึ้นสู่ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อสอบสวนอาชญากรรมสงคราม แม้ว่าไทยจะไม่ได้ยอมรับอำนาจศาล ICC อย่างเต็มที่ก็ตาม เจ้าหน้าที่ไทยยังคงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความไว้วางใจและหลีกเลี่ยงวาทศิลป์ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
สถานการณ์นี้เปรียบเสมือน "สงครามข้อมูล" ที่ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามสร้างการรับรู้ของนานาชาติ โดยต่างฝ่ายต่างอ้างว่าเป็นเหยื่อของการรุกราน แม้การปะทะตามแนวชายแดนจะสงบลงแล้ว แต่สถานการณ์ยังคงตึงเครียด ด้วยการต่อสู้ทางการทูตและข้อมูลที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้น
ที่มาประกอบข่าว เนชั่นอินไซต์