สนข. ดันแลนด์บริดจ์ ย้ำเอกชนไทย ‘จีน-ดูไบ’ สนใจลงทุนปักธงประมูลปีหน้า
สนข.เร่งเครื่อง 'แลนด์บริดจ์' หลังเปิดรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วน เร่งประเมินปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปรับแผนลงทุนเหลือ 9 แสนล้านบาท รองรับขนสินค้าสูงสุด 14 ล้าน TEU เดินหน้าจัดทำเอกสารประกวดราคา ควบคู่เสนอ พรบ. SEC คาดเปิดประมูลปีหน้า ยันทุนจีนและดูไบ สนใจเข้าร่วม
26 ส.ค.2568 - นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) เมื่อวันที่ 25 ส.ค.2568 พร้อมระบุว่า โครงการนี้จะสร้างโอกาสให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางคมนาคมของภูมิภาค
สำหรับโครงการนี้ กระทรวงฯ ได้มอบหมายให้ สนข. ดำเนินการศึกษา ออกแบบ อาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน สามารถเชื่อมต่อทะเลได้ทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามัน จึงเป็นโอกาสที่จะได้ใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งดังกล่าวเพื่อนำมาพัฒนาเป็นเส้นทางทางเลือกในการขนส่งสินค้าทางทะเล เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพทางการค้าของประเทศไทย
นางมนพร กล่าวด้วยว่า การผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์นั้น ต้องเดินหน้าควบคู่ไปกับการจัดทำพระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. …. (พ.ร.บ.SEC) โดยปัจจุบันกรมบัญชีกลางและกระทรวงการคลังได้มีการขอให้ทบทวนร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เนื่องจากยังมีประเด็นเรื่องการตั้งกองทุนเพื่อชดเชยกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยที่ผ่านมาได้มีการประชุมหารือกับทางกระทรวงการคลังแล้วเสร็จ คาดว่าจะมีการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายในเดือน ต.ค.นี้ และเสนอต่อสภาฯ พิจารณาต่อไป
นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการ สนข. กล่าวว่า สนข.ได้ทำการจัดสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยมีการจัดไปแล้ว 2 ครั้งที่จังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร ภายหลังงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นของประชาชน ทั้ง 2 จังหวัด พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการ แต่ก็มีประชาชนบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการ และได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อห่วงกังวล
นอกจากนี้ สนข.ได้ศึกษาถึงผลกระทบที่อาจส่งผลต่อการลงทุนในโครงการ พบว่าสถานการณ์ปัจจุบันมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบ อาทิ ผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น นโยบายการคลังเข้มงวด และความไม่แน่นอนเชิงนโยบายที่กระทบต่อการลงทุนของเอกชน รวมไปถึงนโยบายของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กำแพงภาษีต่างๆ ผลจากสงครามรัสเซีย - ยูเครน และนโยบายการเงินการคลัง การปรับดอกเบี้ยของ FED และ ECB ทำให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น
ทั้งนี้ จากปัจจัยต่างๆ ทำให้ สนข. คาดการณ์ปริมาณขนส่งสินค้าที่มีโอกาสมาใช้ท่าเรือแลนด์บริดจ์ปรับลดลงจากผลการศึกษาเดิม แบ่งเป็น ระยะที่ 1/1 (ปี 2573 - 2574) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 3.750 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 3.765 ล้าน TEUs ระยะที่ 1/2 (ปี 2575 - 2577) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 8.132 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 8.067 ล้าน TEUs ระยะที่ 1/3 (ปี 2578 - 2596) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 14.092 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 13.835 ล้าน TEUs และระยะที่ 2 (ปี 2597 - 2622) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 20.000 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 20.000 ล้าน TEUs
นายปัญญา กล่าวด้วยว่า จากปัจจัยแวดล้อม และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ สนข.พิจารณาปรับแผนการพัฒนาท่าเรือแลนด์บริดจ์ใหม่ โดยมีการปรับขนาดการก่อสร้างให้ลดลงจากเดิม เช่น ในระยะที่ 1/1 จะรองรับตู้สินค้าสูงสุดประมาณ 4 ล้าน TEUs จากแผนเดิมที่จะลงทุนก่อสร้างระยะที่ 1/1 เพื่อรองรับตู้สินค้าสูงสุด 6 ล้าน TEUs แต่อย่างไรก็ดี ภาพรวมของแผนลงทุนทั้งหมดจะยังคงเป้าหมายพัฒนาแลนด์บริดจ์ให้รองรับตู้สินค้าสูงสุด 20 ล้าน TEUs
“แผนลงทุนตอนนี้ ได้ปรับไซส์ลดลงในช่วงแรกที่ต้องพัฒนา ปรับระยะเวลาการก่อสร้างในการลงทุนใหม่ เหลือเพียง 3 ระยะ พัฒนาเพื่อรองรับตู้สินค้าลดลง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากนั้นก็จะทยอยขยายการลงทุน ส่วนระยะที่ 2 ช่วงปี 2597 – 2622 เป็นแผนในอนาคต หากมีการพัฒนาก็จะรองรับตู้สินค้าเต็มขีดความสามารถคือ 20 ล้าน TEUs”นายปัญญา กล่าว
อย่างไรตาม จากการปรับขนาดการก่อสร้างแลนด์บริดจ์ ส่งผลให้ สนข.ประเมินวงเงินการลงทุนลดลงเหลือ 9.9 แสนล้านบาท จากแผนเดิมประเมินไว้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะศึกษาพัฒนาในส่วนของระยะที่ 1 ทั้ง 3 ระยะ แบ่งเป็น ระยะที่ 1/1 (ปี 2573 - 2574) มูลค่าการลงทุน 6.17 แสนล้านบาท ระยะที่ 1/2 (ปี 2575 - 2577) มูลค่าการลงทุน 1.74 แสนล้านบาท และระยะที่ 1/3 (ปี 2578 - 2596) มูลค่าการลงทุน 2.05 แสนล้านบาท ส่วนระยะที่ 2 (ปี 2597 - 2622) ยังไม่มีการประเมินแผนลงทุน เนื่องจากจะต้องรอให้มีการพัฒนาแผนระยะที่ 1 ให้แล้วก่อน
สำหรับรูปแบบการลงทุน ปัจจุบัน สนข.ศึกษาความเหมาะสมโดยจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการรัฐ (PPP) ลักษณะ PPP Net cost สัญญาสัมปทาน 50 ปี โดยการเปิดประมูลใช้หลักการ One Port Two Sides ดำเนินการก่อสร้าง และบริหารงานพร้อมกันทั้งโครงการในสัญญาเดียว และผู้เข้ามาลงทุนจะต้องมีประสบการณ์ในการบริหารท่าเรือ และสายการเดินเรือ เพื่อดึงสินค้าเข้ามาใช้บริการท่าเรือ และจะต้องมีความพร้อมด้านเงินทุนเพื่อลงทุนในโครงการ
ทั้งนี้ ปัจจุบัน สนข. อยู่ระหว่างเตรียมเอกสารเพื่อประกาศประกวดราคา (ทีโออาร์) ใช้เวลาดำเนินการ 5-6 เดือน คาดว่าจะเริ่มเปิดประมูลให้เอกชนร่วมลงทุนและเริ่มก่อสร้างภายในปี 2569 คาดว่าจะเปิดให้บริการระยะที่ 1/1 ภายในปี 2573 ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีน และดูไบ ซึ่งเข้าร่วมรับฟังข้อมูลโครงการด้วย
สำหรับนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้าร่วมโครงการ เช่น บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ดีพี เวิลด์ โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัททรานส์เวิลด์ จีแอสเอส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทมิตซุยแอนด์คัมปนี (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัทสหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน), European Association for Business and Commerce
นอกจากนี้ ยังมีเอกชนผู้ประกอบการสายการเดินเรือที่ให้ความสนใจ เช่น บริษัท เมดิเตอร์เรเนียน ชิปปิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอชเอ็มเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอเวอร์กรีน ชิปปิ้ง เอเยนซี่ (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท อีสเทิร์น ซี แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด รวมไปถึงสมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพฯ