‘สมศักดิ์’ คิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่ จ้าง Care Giver 1.8 หมื่นอัตราทั่วประเทศ
สมศักดิ์” “คิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้มีภาวะพึ่งพิง” จ้าง Care Giver 1.8 หมื่นอัตรา ครอบคลุมทั่วประเทศ สธ.จับมือ ศธ.ลงนามเอ็มโอยู พัฒนางานวิชาการการบริหารจัดการบุคลากร พร้อมเผยปมตรวจสอบ “หมอสุภัทร” ให้เป็นตามวาระ ไม่ล้วงลูก - ไม่เร่ง - ไม่ดึงเรื่อง
26 สิงหาคม 2568 -นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “คิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้มีภาวะพึ่งพิง” โดยมี น.ส.ลิณธภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการ สปสช. ผู้บริหารจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เข้าร่วม
นายสมศักดิ์ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยกลไกท้องถิ่นดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง” ว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ประกาศโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้น ไม่เพียงครอบคลุมทั่วประเทศ แต่ยังมุ่งพัฒนาระบบดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ในการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยผ่านการดูแลโดย “ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง” (Care Giver) ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างงาน รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้อีกด้วย จากคำประกาศฯ ดังกล่าว ณ วันนี้รัฐบาลได้ทำสำเร็จแล้ว และพร้อมประกาศโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้มีภาวะพึ่งพิง” โดยอนุมัติงบประมาณ 1,115 ล้านบาท ให้ สปสช. ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต. เทศบาล เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการจ้างงานผู้ช่วยเหลือดูแลฯ กว่า 18,000 คน เพื่อดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงกว่า 1 แสนคนทั่วประเทศ พร้อมเตรียมดำเนินการต่อในปีถัดไปซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอแผนระดับประเทศต่อ ครม.
“ขอเชิญชวนประชาชนที่ผ่านการอบรมตามหลักสูตรเข้าร่วมโครงการนี้ นอกจากจะได้รับค่าจ้างแล้ว ยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง ที่เสริมสร้างระบบสาธารณสุขชุมชนประเทศให้แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายสมศักดิ์ กล่าว
ด้านน.ส.ลิณธภรณ์ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมส่งเสริมการเรียนรู้มีพันธกิจสำคัญในการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนไทย เพื่อให้ทุกคนสามารถพัฒนาทักษะ ความรู้ และศักยภาพที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพในโลกยุคใหม่ กิจกรรมในวันนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นที่จะเปิดโอกาสทางการศึกษา เสริมสร้างทักษะ และเพิ่มพลังให้สังคมไทย ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ยังมุ่งมั่นสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการดำเนินการตามแนวปฏิบัติในการจ่ายค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง เพื่อนำไปเป็นค่าจ้างผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน นอกจากนี้ สกร. ยังได้สนับสนุนให้มีการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาและงานวิชาการ ที่เอื้อต่อการสร้างทักษะของบุคคลในด้านการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง รวมถึงการสนับสนุนการวิจัย การฝึกอบรม การบริการวิชาการ และการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ชุมชนเกิดความตระหนักและความเข้าใจที่ถูกต้องในประเด็นสังคมสูงวัยและการดูแลผู้สูงอายุ
นพ.จเด็จ กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้ช่วยเหลือดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการสร้างงานในชุมชน แต่ยังเป็นการยกระดับคุณภาพการดูแล โดยผู้ดูแลช่วยเหลือผู้มีภาวะพึ่งพิงฯ ทุกคนจะได้รับการอบรมที่มีคุณภาพและมาตรฐาน เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน ที่พัฒนาหลักสูตรโดยทาง สกร. ซึ่งได้เข้ามาร่วมมือจัดทำหลักสูตรฝึกอบรม และดำเนินงานวิจัยเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน เพื่อให้สนองนโยบายของรัฐบาลในการเสริมสร้างระบบการดูแลผู้สูงวัยของประเทศ ขณะที่ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง อบต. เทศบาล เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าจ้างงานผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งขณะทั่วประเทศได้ผู้ที่สมัครร่วมเป็นผู้ช่วยเหลือดูแลฯ แล้วจำนวนกว่า 6,000 คนกระจายทั่วประเทศ และเชื่อว่านโยบายจากความกันอย่างเข้มแข็งจะบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เพื่อประโยชน์ของประชาชน
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์และน.ส.ลิณธภรณ์ ยังได้เป็นสักขีพยานในพิธีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
“โครงการความร่วมมือพัฒนางานวิชาการการบริหารจัดการบุคลากร เพื่อสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล” ระหว่าง “กรมส่งเสริมการเรียนรู้” โดย นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ และ “สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” โดย นพ.จเด็จ
จากนั้น นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า นายกฯ แพรทองธาร มีความห่วงใยผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จึงสร้างให้มีคนมาดูแล ให้เป็นเรื่องถาวร เป็นการจ้างระยะยาววันนี้ก็เริ่มแล้ว 18,000 คน โดยสปสช.ดำเนินการตามข้อสั่งการรัฐบาล ส่วนกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ติดตามและดำเนินการ Care giver ว่าสร้างขึ้นมานั้นจะมีมาตรฐานหรือไม่ โดยการทำหลักสูตรให้มีความรู้ที่ถูกต้องไปดำเนินการให้เกิดความปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวถามถึงการตรวจสอบสถานชีวาภิบาลหลังเกิดกรณีวัดพระบาทน้ำพุว่า คงจะมีการตรวจสอบอยู่แล้ว ในอดีตที่ผ่านมาอาจจะไม่มีระเบียบที่ชัดเจน มีการทำด้วยจิตอาสา แต่เมื่อมีระเบียบชัดเจน ก็ต้องตรวจสอบ ซึ่งได้มอบหมายให้นายกองตรีธนกฤต จิตอารีรัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการตรวจสอบ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รายงานอะไรมาให้ทราบ
เมื่อถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา นายสมศักดิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่มีความฮือฮาโดยเฉพาะสื่อมวลชนสนใจเป็นอย่างมาก ส่วนกรณีเรียกร้องให้เปิดข้อมูลการสอบสวนหมอสุภัทรนั้น ถ้ากฎหมายให้ทำได้ตนก็ไม่ขัดข้อง อยากให้ทุกฝ่ายความสบายใจ ตนมีความเป็นประชาธิปไตยเต็มขั้นอยู่แล้ว ถ้าไปทำอะไรที่เกินกว่ากฎระเบียบที่มีไว้ ก็จะผิดที่ตัวเราเอง บางคนอาจจะบอกว่ากฎหมายทำได้ แต่มีกฎหมายรองเพื่อรองรับหรือยัง มีระเบียบตามมาแล้วหรือยัง ซึ่งมันมีขั้นตอนบางทีเราจะนึกเอาว่าทำได้ แต่ไม่มีอะไรรองรับ มันก็ผิด
เมื่อถามว่านพ.สุภัทรเปิดออกมาหมดแล้ว ก็มีการเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขเปิดข้อมูลออกมาบ้างว่าผิด
อะไร
นายสมศักดิ์ ย้ำว่า ระเบียบราชการทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้ทำ แต่ถ้าเราไปล้วงลูก ก็จะหาว่าไปช่วยเหลือนพ.สุภัทร ก็ตอบไม่ได้อีก เมื่อถามว่าปลัดกระทรวง นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ จะเกษียณอายุราชการก็เลยฝากความหวังไว้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์กล่าวว่า “ผมอาจจะเกษียณก่อนปลัดหรือเปล่าใครจะไปรู้ วันนี้พอมีเรื่องออกมาหน้าสื่อทุกคนถอยหลังคนละสองสามก้าว อาจจะทำให้เรื่องช้าไปหรือไม่ ส่วนพวกเราก็อาจจะอยากจะรู้เร็ว แต่ทุกคนก็อาจจะบอกว่าไม่รู้ ไม่เห็น ไม่จับแล้ว
เมื่อถามว่าเมื่อถามถึงข้อเสนอจากกรณีคุณหมอสุภัทร ก็อยากให้ใช้โอกาสนี้เก็บกวาดกระทรวงฯ
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า มีเรื่องที่ทำผิด ทำถูก มีเรื่องร้องเรียนเราก็ดูการทำงานตามปกติ และยิ่งมีเรื่องที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยของประชาชน ทำอย่างไรจะไม่ให้ราชการเสียหาย คิดว่าถ้าตนไปเร่งหรือไปล้วงลูก ก็จะเป็นขี้ปาก ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เอาเป็นว่าถึงวันเวลาที่มีการประชุมก็ไป เพราะมันไม่ใช่เรื่องคนไม่มีที่รักษาพยาบาลหรือคนป่วยที่เป็นเรื่องเร่งด่วน แต่เรื่องการทำผิดทำถูกของหมอก็เป็นไปเป็นไปตามวาระ อย่าไปเร่งหรืออย่าไปดึงให้เป็นไปตามระเบียบดีที่สุด และจะมีความผิดพลาดน้อย
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรับมือพายุทาจิกิว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก โดยกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงศึกษาธิการให้เตรียมการให้พร้อม ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็ดำเนินการโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ซึ่งข้าราชการทำงานอย่างรวดเร็วกันมาก ซึ่งได้รับคำชื่นชมมา แล้วตนได้โทรศัพท์สั่งการไปยังส่วนที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว.