“บุหรี่เถื่อน” ล้มเศรษฐกิจ รัฐสูญ 23,000 ล้าน เกษตรกร-ร้านค้า ทยอยเจ๊ง!
(22 ส.ค. 68) ปัญหาบุหรี่ผิดกฎหมายกำลังกลายเป็นวิกฤตที่กัดกร่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างหนัก รัฐบาลสูญเสียรายได้ภาษีมากกว่า 23,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นงบประมาณที่ควรจะถูกนำไปใช้พัฒนาสาธารณสุข การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน แต่กลับถูกทำลายลงเพราะบุหรี่เถื่อนที่ทะลักเข้าสู่ตลาด
ผลกระทบไม่ได้จำกัดเพียงการสูญเสียรายได้ของรัฐ แต่ยังส่งผลลามไปทั่วทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมยาสูบ ตั้งแต่ ชาวไร่กว่า 22,000 ครอบครัว ที่กำลังสูญเสียอาชีพ, ร้านค้าปลีกกว่า 400,000 ราย ที่ไม่สามารถแข่งขันได้, ไปจนถึงการยาสูบแห่งประเทศไทยที่เผชิญการขาดรายได้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคต้องเผชิญสินค้าที่ไร้มาตรฐานและเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ อีกทั้งยังเปิดช่องให้เครือข่ายอาชญากรข้ามชาติใช้ไทยเป็นฐานการค้าผิดกฎหมาย
โดยในวันนี้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลบริหารการป้องกันและปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย จัดเวทีเสวนา “ปัญหาบุหรี่ผิดกฎหมายในประเทศไทย” โดยมี นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยผู้แทนจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลบริหารการป้องกันและปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย การยาสูบแห่งประเทศไทย กรมสรรพสามิต ภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบแห่งประเทศไทย สมาคมการค้าผู้ขายส่งยาสูบ สมาคมการค้ายาสูบไทย และสื่อมวลชนเข้าร่วมเวทีเสวนา
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ย้ำว่า บุหรี่ผิดกฎหมายไม่เพียงทำร้ายเศรษฐกิจ แต่ยังบั่นทอนความมั่นคงและสุขภาพประชาชน การแก้ปัญหาจำเป็นต้องใช้มาตรการจริง ไม่ใช่เพียง “แผนบนกระดาษ” รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อสร้างทางออกที่ยั่งยืน
พล.ต.ท.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ ประธานอนุกรรมการฯ ระบุว่า การจับกุมเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีข้อมูลเชิงลึก การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง และความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อสร้างระบบป้องกันและปราบปรามที่ยั่งยืน
ด้าน นายภูมิจิตต์ พงษ์พันธุ์งาม ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ชี้ว่า บุหรี่เถื่อนทำลายประเทศใน 4 มิติ เศรษฐกิจ ห่วงโซ่อุตสาหกรรมยาสูบ ผู้บริโภค และความมั่นคงจากอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมเน้นว่าการแก้ไขต้องเป็นระบบ เพื่อรักษารายได้รัฐและปกป้องสุขภาพประชาชน
นายปรียวิศว์ พริ้งศุลกะ จากกรมสรรพสามิต ย้ำตัวเลขน่าตกใจว่า รัฐสูญเสียรายได้ภาษีปีละกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนเป็นการสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน หรือโครงสร้างพื้นฐานได้ แต่กลับหายไปเพราะการลักลอบ
เสียงสะท้อนจากเกษตรกรอย่าง นายกิตติทัศน์ ผาทอง ยืนยันว่า เกษตรกรจำนวนมากกำลังถูกแย่งตลาดโดยบุหรี่เถื่อน และกำลังสูญเสียอนาคต เช่นเดียวกับฝั่งผู้ค้าปลีกที่ นายธานินทร์ หิรัญโชติ และ น.ส.ธัญญศรัณ แสงทอง ชี้ว่า จากร้านค้ากว่า 5 แสนราย ปัจจุบันเหลือเพียง 4 แสนราย หากไร้มาตรการเด็ดขาด ร้านค้าเล็กๆ จะทยอยปิดตัวลงอีกจำนวนมาก
ด้านสื่อมวลชน นายกมล ชวาลวิทย์ บรรณาธิการไทยพับลิก้า ย้ำว่า บทบาทสำคัญคือทำให้สังคมตระหนักว่า บุหรี่เถื่อนไม่ใช่ของราคาถูกที่ปลอดภัย แต่คือ “ภัยเงียบ” ที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจและสุขภาพของประเทศ การสื่อสารอย่างต่อเนื่องจะช่วยสร้างแรงกดดันเชิงบวกเพื่อให้เกิดมาตรการแก้ไขจริงจัง
ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันคือ ปัญหาบุหรี่ผิดกฎหมายต้องใช้ “พลังความร่วมมือ” และการบูรณาการจากภาครัฐ เอกชน เกษตรกร ผู้ค้า และสื่อ เพื่อหามาตรการที่เข้มแข็ง ใช้ได้จริง และยั่งยืน ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ได้มากที่สุด