ไฟเขียว ใช้ ‘เครดิตภาษี’ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ดึงดูดนักลงทุน
ไฟเขียว ใช้เครดิตภาษี แทนการชำระภาษีอากร อุตสาหกรรมเป้าหมาย ลดผลกระทบจากการเก็บภาษีส่วนเพิ่ม และช่วยดึงดูดนักลงทุน
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. โดยร่างกฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสิทธิประโยชน์ในการให้เครดิตทางด้านภาษี ดึงดูดบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เสนอ
เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….เป็นการดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการจากการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Top-Up Tax) ซึ่งถือเป็นการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่ ซึ่งประเทศไทยได้ตราพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568
เพื่อจัดเก็บภาษีดังกล่าว จากกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่และนิติบุคคลในเครือ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทยที่มีรายได้รวมทั้งหมดตามงบการเงินรวมของนิติบุคคล ตั้งแต่ 750 ล้านยูโรขึ้นไป (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) ในอย่างน้อย 2 รอบระยะเวลาบัญชี ในช่วง 4 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนหน้ารอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน ที่พิจารณาเป็นผู้มีหน้าที่ต้องเสีย Top-Up Tax
โดยต้องเสียภาษีขั้นต่ำ (GMT) ในอัตรา 15% (ซึ่งต้องเริ่มคำนวณและยื่นแบบเพื่อชำระภาษีดังกล่าวตั้งแต่ปี 2568) อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการรองรับการเสียภาษีขั้นต่ำ (Global Minimum Tax) ตาม Pillar 2 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
สาระสำคัญ ร่างพ.ร.บ.
สำหรับสาระสำคัญ ร่าง พ.ร.บ. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ฉบับใหม่ มีดังนี้
- การให้สิทธิและประโยชน์เครดิต และการนำเครดิตไปใช้แทนการชำระภาษีอากร โดยกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติให้ผู้ได้รับการส่งเสริม สามารถได้รับสิทธิเครดิตภาษีตามสัดส่วนของการลงทุนหรือค่าใช้จ่ายครอบคลุม 3 ด้าน
โดยผู้ได้รับการส่งเสริมสามารถนำเครดิตภาษีที่ได้รับอนุมัติ ไปใช้แทนการชำระภาษีอากรของตนเองหรือนิติบุคคลในเครือเดียวกันที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย โดยต้องนำไปใช้แทนการชำระภาษีอากรภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด
- การคืนเครดิตภาษีที่เหลืออยู่จากกองทุนฯ ผู้ได้รับการส่งเสริมสามารถยื่นคำขอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อขอรับเครดิตภาษีที่เหลืออยู่คืนเป็นเงินสดภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด และคณะกรรมการนโยบายมีอำนาจพิจารณาให้นำเงินจากกองทุนฯ มาจ่ายคืนสำหรับเครดิตภาษีที่เหลืออยู่นั้นได้
ทั้งนี้ ภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนให้เพียงพอต่อการคืนเงินสด (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 6 มาตรา 29 มาตรา 30 และเพิ่มมาตรา 26/1)
- การเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เครดิตภาษี โดยกำหนดให้ในกรณีที่มีการตรวจสอบพบการให้หรือการใช้สิทธิและประโยชน์เครดิตภาษีไม่ถูกต้อง คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจในการเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เครดิตภาษี โดยอาจกำหนดให้มีผลย้อนหลังไปยังรอบปีภาษีที่ไม่ถูกต้องได้ และให้นำกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับต่อไป (เพิ่มมาตรา 27/1)
- การประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ กำหนดอำนาจให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสามารถประสานไปยังกระทรวงการคลังซึ่งเป็นต้นสังกัดของหน่วยงานผู้จัดเก็บภาษีอากร ให้จัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรตามกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องได้ (เพิ่มมาตรา 12/1)
- บทเฉพาะกาล
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เจโทร ย้ำ ญี่ปุ่นเดินหน้าลงทุน 5 อุตสาหกรรมหลักในไทย แม้ยังกังวลภาษีสหรัฐ
- 'กาแฟไทย' โตสวนเศรษฐกิจ คนไทยดื่ม 340 แก้ว/คน/ปี มูลค่าตลาด 6.5 หมื่นล้าน
- ‘จตุพร’ ถกเอกชน ทูตพาณิชย์ แก้ปัญหาส่งออกสินค้าชายแดนไทย–กัมพูชา
ติดตามเราได้ที่