TNR ผู้นำถุงยางโลก ไทยส่งออกเบอร์หนึ่ง
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 58 นาทีที่แล้ว • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - TNR เผยไทย ครองตำแหน่งผู้ส่งออกถุงยางอนามัยอันดับหนึ่งของโลก มั่นใจปีนี้รายได้โตตามอุตสาหกรรมถุงยางโลก 6–8%แบรนด์ เร่งทำการตลาดแบรนด์ ONETOUCH และ PLAYBOYพร้อมชูความหลากหลายสินค้า–ทั้งไซส์และ Texture พิเศษ จุดแข็ง กำลังการผลิตสูงสุดในโลก หนุนต้นทุนต่อหน่วยได้เปรียบคู่แข่งพร้อมคาดไตรมาส 3/2568 ผลงานยังสดใส
ภาพรวมอุตสาหกรรมถุงยางอนามัย
อ้างอิงข้อมูลจาก Custom Market Insights (CMI) พบว่าในปี 2021 ตลาดถุงยางอนามัยทั่วโลกมีมูลค่ารวม 5.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 8.52% ในช่วงปี 2022–2030 โดยคาดว่าภายในปี 2030 มูลค่าตลาดจะขยายตัวแตะ 10.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ช่องทาง E-commerce ถือเป็นกลุ่มที่เติบโตโดดเด่น สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
สำหรับประเทศไทย ยังคงครองตำแหน่งผู้ส่งออกถุงยางอนามัยอันดับหนึ่งของโลก ตัวอย่างเช่น ในปี 2024 ไทยมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 271 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 38% ของตลาดโลก ทิ้งห่างคู่แข่งสำคัญอย่างมาเลเซีย อินเดีย จีน และญี่ปุ่น โดยหากย้อนดูตั้งแต่ปี 2018 ไทยสามารถรักษาความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่อง ครองส่วนแบ่งการตลาดในช่วง 30–38% ของการส่งออกทั่วโลก
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากทั้งแนวโน้มการเติบโตของตลาดโลก และความเป็นผู้นำของไทยในอุตสาหกรรมนี้ ยืนยันถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการต่อยอดธุรกิจ ทั้งการขยายช่องทางใหม่ การสร้างแบรนด์ โดยเฉพาะใน E-commerce ที่มีการเติบโตสูง ขณะเดียวกัน TNR ยังมีฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง มีกำลังการผลิตติดตั้งกว่า 2 พันล้านชิ้นต่อปี และเครือข่ายการส่งออกครอบคลุมกว่า 100 ประเทศ ใน 6 ทวีปทั่วโลก
TNR มีการจำหน่ายสินค้า 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ถุงยางอนามัย และเจลหล่อลื่น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านสุขอนามัย การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการวางแผนครอบครัว โดยมียอดขายมาจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ด้าน นายก้องภพ ดารารัตนโรจน์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ (COO) เปิดเผยถึงกลยุทธ์และทิศทางของบริษัทว่า มี 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
- มุ่งเน้นการเติบโตผ่าน OBM (Own Brand Manufacturing) หรือการสร้างแบรนด์ของบริษัทเอง
- การลงทุนและพัฒนาเครื่องจักรและกระบวนการผลิต
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อก้าวสู่ Sexual Wellness หรือสุขภาวะทางเพศ
สำหรับการมุ่งเน้นเติบโตผ่าน OBM บริษัทได้ผลักดันแบรนด์ ONETOUCH™ และ PLAYBOY โดยแบรนด์ ONETOUCH™ ปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดไทยที่ 34% และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 40% ในอนาคต ปัจจุบันมีการจำหน่ายแล้วใน 16 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป อเมริกากลาง อเมริกาใต้ รวมถึงประเทศไทย และยังมีแผนขยายตลาดสู่กว่า 20 ประเทศทั่วโลก
ส่วนแบรนด์ PLAYBOY บริษัทได้ลงนามสัญญาระยะยาวกับ PLBY Group เจ้าของแบรนด์ PLAYBOY ที่เป็นที่รู้จักในระดับโลก ทำให้บริษัทได้รับสิทธิในการใช้แบรนด์ พร้อมทั้งออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่และขึ้นทะเบียนสินค้า โดยมีแผนวางจำหน่ายใน 11 ประเทศทั่วโลก ในจำนวนนี้ 8 ประเทศจะจำหน่ายผ่าน Distributor ขณะที่ในสหรัฐ จีน และไทย บริษัทจะดำเนินการภายใต้การบริหารเอง ตั้งเป้ารายได้จากแบรนด์นี้กว่า 300 ล้านบาทต่อปี และจะขยายการจำหน่ายครอบคลุมมากกว่า 30 ประเทศภายใน 3 ปี
ด้านการผลิต บริษัทได้นำองค์ความรู้มาพัฒนาและออกแบบเครื่องจักร เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ให้สูงขึ้น พร้อมต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ อาทิ ถุงยางอนามัย ONETOUCH 003 ซึ่งเป็นถุงยางที่บางที่สุดในตลาดปัจจุบัน และยังมีแผนพัฒนาถุงยางที่บางยิ่งขึ้น รวมถึงถุงยางอนามัยที่มี Texture พิเศษ ตลอดจนการพิจารณาผลิต ถุงยางอนามัยจากยางสังเคราะห์ เพื่อรองรับผู้แพ้โปรตีนจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มผู้บริโภคที่มีอายุมากขึ้นและอาจเกิดอาการแพ้ได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการเจาะตลาดพรีเมียมเพิ่มเติม
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนออกผลิตภัณฑ์ เจลหล่อลื่น ที่มีความหลากหลายมากกว่าเดิม พร้อมศึกษาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภค โดยทั้งหมดนี้เป็นเป้าหมายสำคัญที่จะขับเคลื่อนบริษัทสู่การเป็น ผู้นำด้าน Sexual Wellness ระดับโลก
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตสูงสุดในโลก ส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยยังคงสามารถแข่งขันได้ ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม อีกทั้งยังมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทั้งในด้านขนาดและ Texture ที่มีความพิเศษ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น
สำหรับรายได้ในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตสอดคล้องกับอุตสาหกรรมถุงยางอนามัยโลกที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 6–8% โดยบริษัทยังคงเดินหน้าขยายตลาดทั่วโลก พร้อมทั้งเพิ่มความพยายามในการสื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรง เพื่อผลักดันยอดขายสินค้าให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ด้วยคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล บริษัทเชื่อมั่นว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/2568 จะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ PLAYBOY เข้ามาเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม
รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision