ครบ 4 Years Cycle จบรอบขาขึ้น หรือไปต่อได้ ?
หนึ่งในทฤษฎีที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในแวดวงคริปโทฯ ช่วงนี้คือ “การจบรอบของ 4 Years Cycle” ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวมักถูกใช้เป็นกรอบในการคาดการณ์จังหวะการลงทุน โดยอิงข้อมูลในอดีตจากรอบปี 2017 และ 2021 พบว่าช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าซื้ออยู่ราวเหตุการณ์ Bitcoin Halving ขณะที่จุดขายที่ทำกำไรสูงสุดมักปรากฏหลังจากนั้นประมาณ 18 เดือน หากเทียบกับรอบปัจจุบันที่มีการ Halving เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2024 นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยจึงประเมินว่าตลาดอาจทำจุดสูงสุดราวเดือนตุลาคม 2025 นี้
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่ยังคงเปิดกว้างคือ รอบนี้ทฤษฎี 4 Years Cycle จะยังคงใช้ได้จริง หรือรูปแบบดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
ในมุมมองของผู้เขียน แนวคิด 4 Years Cycle อาจไม่ได้มีน้ำหนักเท่าเดิมอีกแล้ว เนื่องจากโครงสร้างนักลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากอดีต โดยปัจจุบันสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันและการนำ Bitcoin ไปใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มุมมองการถือครองมีลักษณะระยะยาวมากกว่าเดิม และน้ำหนักของการเก็งกำไรของรายย่อยที่ All in และ All out ตามรอบเวลา 4 ปีลดลงไป
ปัจจัยที่ควรจับตามองมากกว่า คือ “สภาพคล่องของระบบการเงินโลก” โดยเฉพาะตัวชี้วัด M2 Supply หรือปริมาณเงินสดและเงินฝากระยะสั้นทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทของ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ที่ถูกมองว่าเป็น store of value ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเมื่อรัฐบาลทั่วโลกอัดฉีดสภาพคล่องอย่างไม่จำกัด
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ M2 Supply เคยทำจุดสูงสุดในปี 2017 และ 2024 สอดคล้องกับรอบราคาของ Bitcoin และยังมีค่าสหสัมพันธ์ (correlation) กับราคา Bitcoin ในช่วง 3–4 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงถึง 80–90% ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า การเคลื่อนไหวของ Bitcoin ไม่ได้ผูกกับ 4 Years Cycle เพียงอย่างเดียว หากแต่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของ Liquidity Cycle ที่บังเอิญตรงกับรอบเวลา 4 ปีที่ผ่านมา
คำถามต่อมาคือ Liquidity Cycle รอบนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ปัจจัยสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังมี 2 ด้านหลัก ได้แก่
- M2 Supply และนโยบายการเงินของเฟด ครึ่งปีหลัง 2025 เศรษฐกิจโลกกำลังจับตาการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าจะเกิดขึ้นครั้งแรกในเดือนกันยายน และอาจตามมาด้วยอีกครั้งในไตรมาส 4 การดำเนินนโยบายลักษณะนี้จะช่วยหนุนสภาพคล่องโลกให้อยู่ในทิศทางบวกต่อไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี สิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือท่าทีของเฟดในปีถัดไป ว่าจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อหรือไม่ เพราะนั่นจะเป็นปัจจัยชี้ชะตาของรอบนี้อย่างแท้จริง
- กระแส Digital Asset Treasury (DAT) ปรากฏการณ์ที่บริษัทจดทะเบียนทั่วโลกทยอยสะสมสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Bitcoin และ Ethereum ไว้เป็นทุนสำรอง กำลังกลายเป็นกระแสสำคัญ โดยมีจุดเริ่มจากบริษัท Strategy (ชื่อเดิม MicroStrategy) ที่ใช้ Financial Engineering ที่ซับซ้อนในการเข้าซื้อ Bitcoin และทำให้ราคาหุ้นพุ่งสูง จนหลายร้อยบริษัททั่วโลกเดินตามรอย อย่างไรก็ตาม โมเดลลักษณะนี้มีความเสี่ยงในภาวะตลาดขาลง เมื่อบริษัทที่ขาดสภาพคล่องอาจถูกบังคับขายสินทรัพย์ออกมาเพิ่มเติมซึ่งยิ่งกดดันตลาด ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงคล้าย “ฟองสบู่” ที่แม้จะสร้างผลกำไรให้กับผู้เล่นในระยะสั้น แต่ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อถึงวันแตก สัญญาณเตือนที่ควรจับตา ได้แก่ บริษัทเหล่านี้เริ่มระดมทุนเพื่อซื้อคริปโทฯ ไม่สำเร็จ หรือถูกเรียกเก็บ Risk Premium สูงขึ้น เช่นการให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้นแบบผิดปกติ การเข้าสู่ตลาดของบริษัทหน้าใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
สรุป
ทฤษฎี 4 Years Cycle อาจยังมีผลในเชิง sentiment ต่อการกำหนดพฤติกรรมตลาดระยะสั้น แต่ปัจจัยที่แท้จริงในการกำหนดทิศทางตลาดคริปโทฯ รอบนี้ คือ Liquidity Cycle ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวต่อไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นไตรมาส 4 ของปีนี้ อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณเตือนที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะอาจทำให้รอบการเติบโตสิ้นสุดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็เป็นได้
อ้างอิงที่มา : https://cointelegraph.com/news/bitcoin-price-4-year-old-cycle-not-dead-crypto-analysts
https://www.nasdaq.com/articles/3-things-investors-should-know-crypto-treasury-trend-continue