ผู้นำยุโรปรวมพลังสนับสนุนยูเครนก่อนการประชุมทรัมป์-ปูติน
สำนักข่าวเอพี/ซีเอ็นบีซี รายงานว่า ชาติต่างๆ ในยุโรปรวมพลังสนับสนุนยูเครน โดยระบุว่าสันติภาพในประเทศที่กำลังเผชิญกับสงครามนี้จะไม่สามารถคลี่คลายได้หากปราศจากรัฐบาลเคียฟ ก่อนการประชุมที่จะเกิดขึ้นระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ที่อะแลสกา
ทั้งนี้ ทรัมป์กล่าวว่าการประชุมกับประธานาธิบดีรัสเซียบนแผ่นดินสหรัฐในวันศุกร์ (15 ส.ค.) จะมุ่งเน้นไปที่การยุติสงคราม ซึ่งขณะนี้เข้าสู่ปีที่สี่แล้ว
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนได้ตอบกลับด้วยการขอบคุณพันธมิตรยุโรปผ่านโพสต์บน X โดยเขาเขียนเมื่อวันอาทิตย์ (10 ส.ค.) ว่า “การสิ้นสุดของสงครามต้องยุติธรรม และผมรู้สึกขอบคุณทุกคนที่ยืนหยัดเคียงข้างยูเครนและประชาชนของเรา”
- การประชุมทรัมป์-ปูตินสร้างความกังวล
แถลงการณ์ของผู้นำระดับสูงของยุโรปในวันเสาร์ (10 ส.ค.) มีขึ้นหลังจากที่ทำเนียบขาวยืนยันว่าประธานาธิบดีสหรัฐยินดีให้ปูตินได้พบปะแบบตัวต่อตัวตามที่รัสเซียผลักดันมาอย่างยาวนาน และทรัมป์ยังเสนอแนะว่าข้อตกลงสันติภาพอาจรวมถึง “การแลกเปลี่ยนดินแดนบางส่วน” เรื่องนี้ทำให้เกิดความกังวลว่าเคียฟอาจถูกกดดันให้ยอมสละดินแดนหรือยอมรับข้อจำกัดอื่นๆ เกี่ยวกับอธิปไตย
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวผู้หนึ่งซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อ บอกกับสำนักข่าวเอพีว่าทรัมป์ยังคงเปิดรับการประชุมสุดยอดไตรภาคีกับผู้นำรัสเซียและยูเครน แต่ในตอนนี้เขาจะเข้าร่วมการประชุมทวิภาคีตามที่ปูตินร้องขอ
ขณะเดียวกัน เจ.ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ได้พบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยุโรปและยูเครนในวันเสาร์ ณ บ้านพักของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการยุติสงคราม
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยกล่าวว่าเขาจะพบกับปูติน ไม่ว่าผู้นำรัสเซียจะตกลงที่จะพบกับเซเลนสกีหรือไม่ก็ตาม
การประชุมระหว่างทรัมป์-ปูตินอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในสงครามที่เริ่มต้นเมื่อรัสเซียรุกรานเพื่อนบ้านทางตะวันตกและมีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคน แม้ว่าจะไม่มีการรับประกันว่าการสู้รบจะหยุดลงได้ เนื่องจากมอสโกและเคียฟยังคงเห็นต่างกันมากในเรื่องเงื่อนไขสันติภาพ
- เรียกร้องให้มีข้อตกลงสันติภาพที่ยั่งยืน
แถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ ซึ่งลงนามโดยประธานาธิบดีสหภาพยุโรปและผู้นำฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี โปแลนด์ ฟินแลนด์ และสหราชอาณาจักร เน้นย้ำถึงความจำเป็นของ “สันติภาพที่ยุติธรรมและยั่งยืน” สำหรับเคียฟ ซึ่งรวมถึงการรับประกันความมั่นคงที่ “มั่นคงและน่าเชื่อถือ”
“ยูเครนมีเสรีภาพในการเลือกชะตากรรมของตนเอง การเจรจาที่มีความหมายสามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการหยุดยิงหรือการลดความเป็นศัตรูกัน” แถลงการณ์ดังกล่าวระบุ
“เส้นทางสู่สันติภาพในยูเครนไม่สามารถตัดสินใจได้หากปราศจากยูเครน เรายังคงยึดมั่นในหลักการที่ว่าพรมแดนระหว่างประเทศจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงด้วยกำลังทางทหาร” สหภาพยุโรปกล่าวเสริม
นายลินด์ซีย์ เกรแฮม สมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกันจากรัฐเซาท์แคโรไลนา กล่าวกับเอ็นบีซีนิวส์เมื่อวันอาทิตย์ ว่า ข้อตกลงที่ดีจะหมายถึงการป้องกันไม่ให้รัสเซียผู้ก้าวร้าวและผู้รุกรานที่อื่นๆ พยายามขีดเส้นเขตแดนใหม่ด้วยกำลังทหารอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นายเกรแฮม ซึ่งเป็นพันธมิตรของทรัมป์และสายเหยี่ยวผู้ต่อต้านรัสเซีย กล่าวว่า “คุณไม่สามารถยุติสงครามได้หากไม่พูดคุย”
“ผมหวังว่าเซเลนสกีจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ได้ ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า (ประธานาธิบดีทรัมป์) จะไปพบปูตินด้วยจุดยืนที่แข็งแกร่ง เขาจะดูแลยุโรป และยูเครนจำเป็นต้องยุติสงครามนี้อย่างสมเกียรติ” เขากล่าว
เขายกเหตุผลว่า “ยูเครนจะไม่ขับไล่ทหารรัสเซียทุกคนออกไป” แต่กล่าวว่าฝ่ายตะวันตกควรให้การรับประกันความมั่นคงที่เข้มแข็งแก่เคียฟ รักษากำลังพลบางส่วนไว้บนพื้นดิน “เพื่อเป็นแนวกั้น” และจัดหาอาวุธให้ยูเครนต่อไป “เพื่อที่รัสเซียจะถูกขัดขวางโดยกองทัพที่อันตรายที่สุดในทวีปยุโรป”
- ความพยายามที่ไร้ผลสู่การสงบศึก
ความพยายามที่นำโดยสหรัฐ เป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อบรรลุข้อตกลงสงบศึกในยูเครนยังคงไร้ผล โดยเคียฟตกลงในหลักการ ขณะที่เครมลินยังคงยืนกรานเงื่อนไขที่ตนพอใจ
ทรัมป์ยังได้ยื่นคำขาดเพื่อกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม และตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากับประเทศที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย หากเครมลินไม่ดำเนินการหาข้อยุติ ภายในเส้นตายวันศุกร์ ที่ผ่านมา
ในวันเสาร์ทำเนียบขาวไม่ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรที่อาจเกิดขึ้น
เครมลินได้ย้ำข้อเรียกร้องอีกครั้งให้ยูเครนยอมสละดินแดน ยกเลิกความพยายามเข้าร่วมกับกลุ่มนาโต และยอมรับข้อจำกัดทางทหาร เพื่อแลกกับการถอนกำลังทหารรัสเซียออกจากส่วนอื่นๆ ของประเทศ สิ่งที่เจ็บปวดอย่างยิ่งสำหรับเคียฟคือการที่มอสโกยืนกรานที่จะยึดเอาดินแดนทางตะวันออกและทางใต้ของยูเครน ซึ่งเครมลินอ้างว่าได้ผนวกเข้าเป็นดินแดนของตนแล้ว แม้ว่าจะยังไม่มีการควบคุมทางทหารอย่างเบ็ดเสร็จก็ตาม
นายมาร์ค กาเลออตติ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองรัสเซียชาวอังกฤษ หัวหน้าบริษัทที่ปรึกษา Mayak Intelligence กล่าวว่า กลยุทธ์ของมอสโกในการปิดล้อมเมืองต่างๆ ทางตะวันออกของยูเครนทำให้รัสเซียได้ดินแดนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปูติน “ดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่าถูกกดดัน”
นายกาเลออตติ ระบุในบทวิเคราะห์ที่ตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์ ของสหราชอาณาจักรเมื่อวันอาทิตย์ว่า “การยืดเวลาการดำเนินการใดๆ ของสหรัฐ ออกไปอีก และแผนการพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐ ถือเป็นชัยชนะแล้ว”
- เซเลนสกี ปฏิเสธการสละดินแดน
เซเลนสกี กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า ยูเครน “จะไม่มอบรางวัลใดๆ ให้กับรัสเซียสำหรับสิ่งที่ได้ทำลงไป” และ “ชาวยูเครนจะไม่ยกดินแดนของตนให้กับผู้ยึดครอง”
ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ยูเครนเคยบอกกับเอพีเป็นการส่วนตัวว่า เคียฟจะยอมรับข้อตกลงสันติภาพ ซึ่งโดยพฤตินัยแล้วจะเป็นการยอมรับถึงความไม่สามารถของยูเครนในการยึดครองดินแดนที่สูญเสียไปทางทหารคืนจากรัสเซีย แต่เซเลนสกียืนยันเมื่อวันเสาร์ว่าการยอมยกดินแดนอย่างเป็นทางการนั้นเป็นไปไม่ได้
นายกาเลออตติโต้แย้งว่าข้อตกลงใดๆ ที่ทำให้ยูเครนต้องสละดินแดนนั้น “น่าเจ็บปวด” และเป็นอันตรายทางการเมืองสำหรับเซเลนสกี
นายอันเดรย์ เยอร์มัค ผู้ช่วยคนสำคัญของเซเลนสกี กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า เคียฟจะพยายามยกระดับสถานะของตนก่อนการประชุมระหว่างทรัมป์และปูตินที่วางแผนไว้
“สัปดาห์แห่งการทูตที่สำคัญรออยู่ข้างหน้า” เขากล่าว
- ผลักดันมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย
นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช แมร์ซ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ผู้นำยุโรปกำลัง “เตรียมความพร้อมอย่างเข้มข้น” ก่อนการประชุมสุดยอดที่อะแลสกา ขณะที่พวกเขา “หวังและคาดหวัง” ว่าเซเลนสกีจะได้รับเชิญ
แมร์ซกล่าวกับสถานีโทรทัศน์สาธารณะเออาร์ดีของเยอรมนีว่า เขาได้สนับสนุนให้วอชิงตันเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียมาหลายสัปดาห์แล้ว และเสริมว่า “ปูตินจะลงมือปฏิบัติเมื่อถูกกดดันเท่านั้น”
นายมิคาอิล คาเซียนอฟ อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของปูติน และต่อมาเป็นคู่แข่งทางการเมือง ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีซันเดย์ในทำนองเดียวกันว่า เครมลินจะเต็มใจเจรจาอย่างจริงจังและยอมประนีประนอมเมื่อมาตรการคว่ำบาตรยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจของรัสเซีย
ด้านนายมาร์ก รุตเตอร์ เลขาธิการนาโต กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า วอชิงตันได้ดำเนินการต่างๆ เช่น อนุญาตให้มีการส่งยุทโธปกรณ์ไปยังยูเครนมากขึ้น และกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่ออินเดียสำหรับการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย โดยกล่าวว่าทรัมป์ “กำลังกดดันปูตินอย่างชัดเจน”
“วันศุกร์หน้าจะเป็นวันสำคัญ เพราะจะเป็นการทดสอบปูตินว่าเขาจริงจังแค่ไหนในการยุติสงครามอันเลวร้ายนี้” รุตเตอร์กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับเอบีซีนิวส์