คอกาแฟเช็กด่วน! ดื่มวันละ 2-3 แก้ว พอดีหรือเกินขีดจำกัดวัยทำงาน?
ข้อมูลจากสมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐฯ (National Coffee Association) ปี 2022 ระบุว่า ชาวอเมริกันราว 2 ใน 3 ดื่มกาแฟทุกวัน แต่คำถามที่ยังถกเถียงกันคือ ดื่มเท่าไหร่ถึงจะพอดี และคาเฟอีนปลอดภัยจริงหรือไม่ ซึ่งคำตอบอาจซับซ้อนกว่าที่คิด
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ติดตามการดื่มกาแฟของผู้ใหญ่กลุ่มผู้หญิงเกือบ 50,000 คน เป็นเวลา 30 ปี และเผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา พบว่า การดื่มกาแฟทุกวันอาจช่วยให้ผู้หญิงมีสุขภาพดีเมื่ออายุมากขึ้น อีกทั้งการดื่มวันละ 1-3 แก้วยังมีความเชื่อมโยงกับสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น และลดอัตราการเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยชิ้นอื่นๆ อีกหลายชิ้น ให้ข้อมูลสวนทางโดยชี้ว่า การดื่มกาแฟในปริมาณมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม อีกทั้งบทความใน Journal of the American Heart Association ปี 2022 ก็ระบุว่า ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและดื่มกาแฟในปริมาณมาก อาจเสี่ยงเสียชีวิตจากโรคหัวใจมากขึ้นอีกด้วย แล้วแบบนี้..วัยทำงานดื่มกาแฟได้แค่ไหนถึงจะพอดี?
ในมุมของนักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญสายแพทย์ทางเลือก ออกมาแสดงความเห็นต่อประเด็นนี้ว่า ปริมาณการดื่มกาแฟที่จะให้ประโยชน์หรือให้โทษนั้น จริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตและสุขภาพโดยรวมของผู้บริโภคแต่ละคน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพส่วนใหญ่มักย้ำเหมือนกันว่า “ความพอดี” คือหัวใจสำคัญ
ผู้เชี่ยวชาญเตือน ไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 400 มิลลิกรัมคาเฟอีนต่อวัน
ดีแพ็ก โชปรา (Deepak Chopra) นักเขียนและผู้สนับสนุนการแพทย์ทางเลือก เคยให้สัมภาษณ์กับ CNBC Make It ในปี 2023 ว่า เขาดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้วช่วงเวลาก่อนเที่ยง ซึ่งแม้บางคนอาจมองว่าเยอะ แต่จริงๆ แล้วยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
ขณะที่ ร็อกซานา เอห์ซานี (Roxana Ehsani) นักโภชนาการและนักกำหนดอาหารวิชาชีพ อธิบายว่า “การดื่มกาแฟ 2-3 แก้วก่อนเที่ยงถือว่าปลอดภัย ตราบใดที่ปริมาณคาเฟอีนไม่เกิน 400 มิลลิกรัม” ซึ่งเป็นข้อแนะนำของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ทั้งนี้ ปริมาณคาเฟอีนรวมต้องนับจากทุกแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นชา เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม หรือแม้แต่จากเครื่องดื่มจากช็อกโกแลต
แม้ FDA จะแนะนำไว้ แต่บางคนอาจต้องดื่มน้อยกว่านั้น เพราะความทนทานต่อคาเฟอีนของแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนเพียงหนึ่งถึงสองแก้วก็รู้สึกใจสั่นหรือกระสับกระส่ายแล้ว
เจสสิกา ซิลเวสเตอร์ (Jessica Sylvester) นักกำหนดอาหารอีกคน ให้คำแนะนำว่า “ถ้าดื่มกาแฟแล้วรู้สึกอ่อนเพลีย หรือหลังจากดื่มไปสองสามแก้วแล้ว รู้สึกว่าคาเฟอีนไม่ช่วยให้ตื่นตัวหรือทำให้หายง่วง ก็ควรหยุดดื่มทันที หรือถ้าหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ก็ต้องหยุดดื่มเช่นกัน เพราะร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน”
กลุ่มเสี่ยงให้เลี่ยงกาแฟ กลุ่มไม่เสี่ยงดื่มได้แต่อย่าแทนที่มื้ออาหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หญิงที่ตั้งครรภ์ควรลดปริมาณคาเฟอีนลง นอกจากนี้ผู้ป่วยเบาหวานหรือโรคหัวใจควรระวังปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มกาแฟด้วย นิกกี โคตา (Nikki Cota) นักกำหนดอาหารจากคลินิก Mayo กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้สำคัญมากกับกลุ่มเสี่ยงทั้งสองกลุ่ม
สำหรับกลุ่มวัยรุ่นก็เป็นอีกกลุ่มประชากรที่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน ยืนยันจากสมาคมกุมารเวชศาสตร์อเมริกัน (American Academy of Pediatrics) ที่ประกาศคำแนะนำออกมาว่า การหลีกเลี่ยงคาเฟอีนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทุกคน
แมดดี ปาสคาริเอลโล (Maddie Pasquariello) นักกำหนดอาหาร แนะนำว่า สำหรับคนทั่วไป ถ้าดื่มวันละ 2-3 แก้ว หรือมากกว่า สิ่งสำคัญคือการสังเกตสัญญาณจากร่างกาย และอย่าดื่มกาแฟเพื่อแทนที่มื้ออาหาร ต้องรับประทานอาหารมื้อหลักด้วย
แล้วควรดื่มกาแฟก่อนอาหารหรือหลังอาหารดี? นักโภชนาการอย่าง เอห์ซานี แนะนำเรื่องนี้ว่า ให้ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารก่อนดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์กดความอยากอาหาร และถ้าสังเกตว่าดื่มกาแฟช่วงบ่ายแล้วนอนหลับยาก ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตั้งกฎส่วนตัวว่า “ดื่มกาแฟได้แค่ตอนเช้าก่อนเที่ยงเท่านั้น”
อ้างอิง: CNBC Makt it, EurekAlert.org, Effects of Caffeine on Kids, CNN