ผู้นำ 'เกาหลีใต้-เวียดนาม' ให้คำมั่นกระชับสัมพันธ์แน่น ท่ามกลางการค้าโลกไม่แน่นอน
เกาหลีใต้และเวียดนามให้คำมั่นที่จะร่วมมือกันทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์อย่างแน่นแฟ้นมากขึ้น ในงานประชุมสุดยอดผู้นำของทั้งสองประเทศในวันจันทร์ (11 ส.ค.) ในขณะที่ประเทศต่างๆ พยายามใช้ประโยชน์ทางธุรกิจเพื่อนำทาง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมการค้าโลกที่ท้าทาย
สำนักงานประธานาธิบดีรายงานว่า อี แจ-มยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพต้อนรับโต เลิม ผู้นำเวียดนามในฐานะแขกของรัฐคนแรก นับตั้งแต่นายอีได้ตำแหน่งในวันที่ 4 มิ.ย. และได้หารือสนับสนุนการค้าและการลงทุนในเวียดนาม
เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นผู้นำคณะผู้แทนรัฐมนตรีอุตสาหกรรม การค้า ต่างประเทศ และเทคโนโลยี และสมาชิกอาวุโสของพรรคและรัฐสภาเดินทางเยือนเกาหลีใต้ 4 วัน
“ประเทศของเราตกลงกันว่าบริษัทเกาหลีประมาณ 10,000 แห่งที่ดำเนินธุรกิจในเวียดนามจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนามและให้ความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ” นายอีกล่าวปราศรัยทางโทรทัศน์
“ผมขอให้บริษัทของเรายังคงให้ความสนใจในกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงในเวียดนามต่อไป”
ขณะที่เลิมกล่าวว่าทั้งสองประเทศตกลงที่จะเปิดตลาดและขยายการค้าสู่มูลค่า 150,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2573 พร้อมเสริมว่าเวียดนามยินดีรับการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาคธุรกิจเกาหลีใต้ รวมถึงความร่วมมือทางเทคโนโลยีที่มากขึ้น
รอยเตอร์สรายงานว่า ทั้งสองประเทศมีกำหนดลงนามบันทึกความเข้าใจอย่างน้อย 10 ฉบับในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ และให้คำมั่นที่จะร่วมมือกันในหลายด้าน รวมถึงด้านพลังงานนิวเคลียร์และพลังงานหมุนเวียน นโยบายการเงินและการคลัง และด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สำนักงานปธน.เกาหลีใต้เผยด้วยว่า ข้อตกลงอื่นๆ ยังครอบคลุมถึงความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงรถไฟความเร็วสูง
การเยือนที่เกิดขึ้นได้ยากของผู้นำเวียดนามครั้งนี้ คาดว่าจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้บรรดาธุรกิจเกาหลีใต้เข้าไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และโครงการพลังงานนิวเคลียร์ที่วางแผนไว้ในเวียดนามได้
บริษัทขนาดใหญ่ของเกาหลีใต้หลายแห่ง รวมถึง Samsung Electronics ได้ใช้เวียดนามเป็นศูนย์กลางของการส่งออก โดยได้รับประโยชน์จากต้นทุนแรงงานที่น้อยกว่า แรงจูงใจทางภาษีที่เอื้อเฟื้อ และข้อตกลงการค้าเสรีมากมายของฮานอยกับประเทศต่างๆ หลายสิบประเทศที่มีมานานหลายปี
แต่การดำเนินนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ที่กำหนดภาษีศุลกากรใหม่ครั้งใหญ่ต่อประเทศต่างๆ ในเอเชียในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้นต่อพันธกรณีทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งข้อมูลจากทางการของเวียดนามแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวของการลงทุนใหม่
อย่างไรก็ตาม ยังมีบริษัทเกาหลีใต้หลายแห่งที่เป็นนักลงทุนที่มีศักยภาพสำหรับโครงการพลังงานนิวเคลียร์ โครงการ LNG และโครงการรถไฟความเร็วสูงในเวียดนาม
ทั้งนี้ ทรัมป์เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนามในอัตรา 20% ขณะที่เกาหลีใต้ถูกเรียกเก็บ 15%
อ้างอิง: Reuters