จุดเปลี่ยน ‘อิเล็กทรอนิกส์-ยานยนต์’ ปรับโครงสร้างอุตฯ‘รักษาตลาดส่งออก’
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ และศูนย์วิจัยความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษาโครงการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาคการส่งออกเพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยในตลาดโลกให้เติบโตอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 15 ส.ค.2568
รศ.ดร.อาชนัน เกาะไพบูลย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การส่งออกของไทยเผชิญความท้าทายสำคัญ โดยส่วนแบ่งตลาดโลกลดลงจาก 1.4% ในปี 2562 เหลือ 1.3% ในปี 2566 ท่ามกลางสงครามการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
สำหรับความท้าทายด้านเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญ คือ พยายามเคลื่อนตัวออกจาก Low Growth Trap โดยการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการลงทุนใหม่ และจำเป็นต้องยกระดับขีดความสามารถการส่งออกถูกเร่งขึ้นอีกในสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ไทยต้องปรับโครงสร้างภาคการส่งออกของไทย โดยมุ่งเน้น การสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการส่งออก การกระจายตลาด เพื่อลดความเสี่ยงการเตรียมรับมือ กับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและตลาดโลก
รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มีการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ การกระจุกตัวของตลาด และเจาะลึก 2 คลัสเตอร์อุตสาหกรรมสำคัญ คิดเป็น 27% ของมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรม และคิดเป็น 36% ของการส่งออกรวม และจ้างงาน 700,000 คน
1.คลัสเตอร์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ (NGEC) มีสินค้าต้นน้ำ คือ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ, Integrated circuits ขณะที่สินค้ากลางน้ำเป็น PCB และ PCBA, IC-based electronic components และสินค้าปลายน้ำเป็นสินค้ากลุ่มฮาร์ดดิสก์, เครื่องใช้ไฟฟ้า
สำหรับสินค้ากลุ่มนี้ได้รับได้อานิสงส์จากสงครามการค้าและ “China Plus One” การย้ายฐานการลงทุน (Font-end และ Back-end Wafer Fabrication) และการขยายการผลิต PCB และ IC-based electronic components แต่ต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ซึ่งต้องเร่งสร้างความเชื่อมโยงภายในประเทศ และต้องมียุทธศาสตร์ชัดเจนเพื่อดึงดูดการลงทุนต้นน้ำ
2.คลัสเตอร์ยานยนต์แห่งอนาคต (NGMC) ประกอบด้วย 2 กลุ่มสินค้า คือ รถยนต์ (เครื่องสันดาปภายใน ไฮบริด ปลั๊กอิน ไฟฟ้า) และชิ้นส่วนและส่วนประกอบ โดยคลัสเตอร์นี้ไทยยังรักษาความสามารถการส่งออกได้ดี (60% เป็นรถยนต์สำเร็จรูป) มีการส่งออกรถ HEV เพิ่มขึ้นและมีความเชี่ยวชาญในชิ้นส่วนยานยนต์
ทั้งนี้มีความท้าทายจากความต้องการรถยนต์ภายในประเทศลดลง รวมถึงการแข่งขันจาก BEVs และการต้องปรับตัวสู่ตลาด REM และ Smart Auto parts ดังนั้นต้องลดต้นทุนและกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น เตรียมความพร้อมสำหรับ BEVs พัฒนา Smart Auto parts เชื่อมโยง NGEC-NGMC และสนับสนุนการเข้าสู่ตลาด REM
นายนัยวุฒิ วงษ์โคเมท อุปนายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมไทยเซมิคอนดักเตอร์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมไมโครชิปและเซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์
ทั้งนี้ น่ากังวลสุด คือ ไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่ไม่มีแผนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีแผนชัด เช่น มาเลเซีย เวียดนามและสิงคโปร์ โดยข่าวดีขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กำลังร่างแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวและจะเสร็จภายปลายปี 2568 ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ยังได้เสนอแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไทย โดยแบ่งเป็น 4 ส่วนหลัก ดังนี้
1.การออกแบบ (Design) เป็นส่วนสำคัญที่ใช้คนน้อยแต่สร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องได้สูง เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่มากเมื่อเทียบกับการผลิตจริง หากสนับสนุนจริงจังจะเชื่อมโยงและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมอื่น
2.การผลิต (Wafer Fab) การผลิตเวเฟอร์เป็นส่วนที่ท้าทายสุดเพราะใช้เงินลงทุนสูงมาก ในอดีตไทยเคยพยายามตั้งโรงงานผลิตแต่ไม่สำเร็จ ปัจจุบันปัญหายังขาดแคลนห่วงโซ่อุปทานและบุคลากรที่เชี่ยวชาญ ซึ่งไทยต้องเริ่มต้นลงทุนส่วนนี้อาจเริ่มจากโรงงานขนาดเล็ก เช่น โรงงานที่ใช้เทคโนโลยีเก่าที่ตลาดต้องการและใช้เงินลงทุนไม่สูงนักเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีใหม่ที่อาจสูงถึง 50,000 ล้านบาท
3.การประกอบและทดสอบ (ATP/Packaging) ไทยมีความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดโลกอยู่ที่ 2% แต่คาดการณ์ว่าส่วนแบ่งการตลาดนี้จะเหลือเพียง 1% ใน 7 ปีข้างหน้า หากไม่สนับสนุนจริงจังจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องหาทางรักษาและพัฒนาส่วนนี้ให้ดีขึ้น
4.Photonics อุตสาหกรรมโฟโทนิคส์เป็นอีกหนึ่งส่วนที่มีศักยภาพ เนื่องจากประเทศไทยมีความแข็งแกร่งในเรื่อง Organic และมีห่วงโซ่อุปทานในประเทศอยู่มาก ทั้งผู้เล่นไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน จึงมองว่าภาครัฐควรให้ความสำคัญและสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น เพราะอาจเป็นอีกจุดแข็งที่ทำให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้
นายเสวก ประกิจฤทธานนท์ อุปนายกและเลขาธิการสมาคมแผงวงจรพิมพ์ไทย (PCB) กล่าวว่า อุตสาหกรรมแผงวงจรพิมพ์ (PCB) เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน
“PCB เป็นเทคโนโลยีอยู่คู่ชีวิตประจำวันตั้งแต่หม้อหุงข้าวไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับสูง โดยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย”
ทั้งนี้จากปัจจัยความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั่วโลกทำให้ผู้ผลิต PCB รายใหญ่จากจีนและไต้หวันเริ่มย้ายฐานการผลิตมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไทยเป็นเป้าหมายสำคัญของการลงทุนช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีผู้ผลิต 50 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นบริษัทชั้นนำของโลกได้มาลงทุนในไทย 200,000 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกกลุ่มนี้เติบโตขึ้นจาก 60,000 ล้านบาท เป็น 200,000-300,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
“การย้ายฐานการผลิตนี้ไม่ได้มาจากปัจจัยด้านภาษีสหรัฐเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความเสี่ยงระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าหรือปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งหลายบริษัทต้องการกระจายความเสี่ยงและไทยเป็นที่หลบพายุดีสุดในอีก 10 ปีข้างหน้า”