สส.ประชาชน ซัดงบฯ 69 ก.เกษตรฯ ไม่ตอบโจทย์ ดูดีบนกระดาษ ใช้ในชีวิตจริงไม่ได้
ถกงบฯ 69 วันที่ 2 “สส.ประชาชน” ซัดงบฯกระทรวงเกษตรฯ ไม่ตอบโจทย์คนไทย ที่ดูดีบนกระดาษ แต่ใช้ในชีวิตจริงของเกษตรกรไม่ได้ ข้องใจทำไมต้องทำโครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา ทั้งที่มูลค่าส่งออกแพ้เชียงราย-น่าน เสี่ยงผูกขาด หรือเป็นเหตุผลทางการเมือง ฉะ ”ล้งแห่งชาติ” ของ อ.ต.ก. ล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
ที่รัฐสภามีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระ 2-3 เป็นวันที่ 2 โดยพิจารณามาตรา 14 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานในกำกับ
โดยนายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก สส.ลำพูน พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณในส่วนขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ว่ามี 2 โครงการที่ไม่ตอบโจทย์ให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ และเสี่ยงต่อการใช้เงินภาษีอย่างไม่คุ้มค่า เสี่ยงต่อการล้มเหลวของโครงการ ได้แก่ โครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา และโครงการล้งแห่งชาติ
นายวิทวิสิทธิ์กล่าวต่อว่า โครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา ปีงบฯ 69 อ.ต.ก. ของบฯทั้งหมด 84,623,500 บาท เพื่อสนับสนุนการตลาดให้กับเกษตรกร แต่มีจำนวน 41,321,500 บาท ถูกเทไปในพื้นที่เดียวคือ จ.พะเยา ภาพรวมของโครงการนี้ถ้าแล้วเสร็จจะใช้งบประมาณสูงถึง 168,169,000 บาท ผมขอถามตรง ๆ ว่าทำไมต้องลงไปที่ จ.พะเยา ทำไมต้องกระจุกงบประมาณไปที่จังหวัดเดียว ในเมื่อภาษีเป็นของคนทั้งประเทศ และภาคเหนือตอนบนมีถึง 8 จังหวัด แต่กลับทุ่มงบประมาณหลายสิบล้านบาทไปที่ตลาดกลางเพียงจังหวัดเดียว
และเมื่อดูมูลค่าการส่งออกของสินค้าเกษตรของ จ.พะเยา ไปยังประเทศลาว ต่ำกว่า จ.เชียงราย และน่าน มากกว่า 3 เท่า และสินค้าเกษตรหลักที่ประเทศลาวนำเข้าจากประเทศไทย ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวเปลือก ผลไม้สด จ.พะเยา มีส่วนแบ่งการตลาดน้อยกว่า 8% เมื่อเทียบกับการค้าชายแดนของภาคเหนือ และระบบโลจิสติกส์ก็อยู่ที่ จ.เชียงราย และน่าน ไม่ใช่ที่ จ.พะเยา และระยะทางจากพะเยาไปชายแดนไกลกว่า ทำให้ต้นทุนสูงกว่า
“คำถามคือใครได้ประโยชน์จากการเลือกโครงการลงที่ จ.พะเยา การเลือกครั้งนี้เป็นเพราะเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจจริง ๆ หรือการเมือง เพราะหากจะสร้างตลาดกลางที่ภาคเหนือจริง ๆ ต้องกระจายไปหลายจังหวัด เชื่อมโยงกันด้วยระบบโลจิสติกส์และการส่งขนส่งเย็น ไม่ใช่ปักเสาหลักกองเดียว แล้วบอกว่านี่คือโครงการเพื่อพี่น้องทั้งภูมิภาค
และถ้าโครงการนี้สำเร็จก็จะเสี่ยงต่อการเป็นตลาดผูกขาด เกษตรกรจังหวัดอื่นต้องแบกภาระต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายเกษตรกรก็ต้องขายสินค้าให้คนกลางในราคาถูกอยู่ดี ถ้าโครงการนี้ไม่สำเร็จก็จะกลายเป็นตลาดร้างทำให้ภาษีของประชาชนหลาย 100 ล้านบาท ถูกเททิ้งลงคลองเหมือนเดิม” นายวิทวิสิทธิ์กล่าว
นายวิทวิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ส่วนโครงการล้งแห่งชาติ อ.ต.ก.ตั้งงบฯ 11,612,000 บาท เพื่อศึกษาต้นแบบการสร้างล้งแห่งชาติ โดยให้ อ.ต.ก.ทำหน้าที่เป็นเอกชน ซึ่งเสี่ยงที่จะล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ารัฐวิสาหกิจมีขั้นตอนการอนุมัติในการจัดซื้อจัดจ้างที่ล่าช้า และเจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีทักษะเชิงพาณิชย์ ทำให้ขายสินค้าไม่ได้มูลค่าเต็มจำนวน
และโครงการก็ต้องพึ่งพางบประมาณของรัฐเป็นหลัก ถ้าถูกตัดงบฯโครงการนี้ก็จะหยุดชะงักทันที จะเห็นได้ว่าโครงการล้งแห่งชาติคือโครงการที่ไม่ตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ เสี่ยงต่อการกระจุดงบประมาณ การผูกขาด และการล้มเหลวของโครงการ ผมจึงขอให้ตัดลดงบประมาณ 2 โครงการนี้ทันที และให้รัฐบาลนำเงินไปสร้างโครงการที่ครอบคลุมตรงจุดและตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่โครงการที่ดูดีบนกระดาษ แต่ใช้ในชีวิตจริงของเกษตรกรไม่ได้
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สส.ประชาชน ซัดงบฯ 69 ก.เกษตรฯ ไม่ตอบโจทย์ ดูดีบนกระดาษ ใช้ในชีวิตจริงไม่ได้
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net