“วิโรจน์” เสนอตัดงบ 7.56 ล้าน รถเครนกรมทางหลวง
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 11 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระ 2-3
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายมาตรา 15 กระทรวงคมนาคม ถึงงบประมาณของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท รถเครนในประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหากฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับหลักการทางวิศวกรรมและการผลิตรถเครน เนื่องจากรถเครนที่ผลิตจากโรงงานตามมาตรฐานอุตสาหกรรม มีมาตรฐานความปลอดภัยถูกต้องครบถ้วนทุกอย่าง สามารถวิ่งใช้งานในท้องถนนได้ทั่วโลก ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา แต่ต้องถูกตำรวจไทยจับด้วยข้อหาน้ำหนักเกิน ทั้งที่รถเครนเหล่านี้ไม่ได้มีการดัดแปลงมาจากโรงงานแท้ ๆ ออกมาจากโรงงานปุ๊บ วิ่งปั๊บ ถูกจับทันที
ประเทศอื่นจัดรถเครนให้อยู่ในกลุ่มรถเฉพาะกิจ ซึ่งได้รับอนุญาตให้มีน้ำหนักรวมเกินกว่ารถบรรทุกทั่วไป เนื่องจากรถเครนมีหน้าที่เคลื่อนย้ายตนเองไปยังพื้นที่ปฏิบัติงาน จากนั้นจะอยู่ในพื้นที่ทำงานจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ไม่ได้มีลักษณะหน้าที่ขนถ่ายสินค้าและวิ่งส่งไปมาแบบรถบรรทุกทั่วไป แต่กฎหมายของไทยจัดให้รถเครนไปอยู่ในหมวดเดียวกับรถบรรทุก ทำให้รถเครนต้องถูกจับด้วยข้อหาบรรทุกน้ำหนักเกิน ทั้งที่ไม่ได้บรรทุกอะไรเลย และไม่มีการดัดแปลง
“เดิม ๆ แท้ ๆ ออกจากโรงงานแต่กลับผิดกฎหมายซะงั้น นี่มันเรื่องอะไรกันกับประเทศไทย” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่ารถบรรทุก 6 ล้อ ในปัจจุบันกฎหมายกำหนดน้ำหนักไม่เกิน 15 ตัน แต่รถเครนที่ติดตั้งอุปกรณ์ครบชุดตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ทั้งเครน ขาเหยียบ น้ำหนักถ่วง และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้งาน จะมีน้ำหนักโดยรวม 16-17 ตันเศษ ตั้งแต่ออกจากโรงงาน หมายความว่าเมื่อวิ่งออกมาใช้งานก็พร้อมถูกตำรวจทางหลวงซิวทันที
หากดัดแปลงเอาน้ำหนักถ่วงออก หรือเอาน้ำหนักถ่วงออก เวลาไปยกของหนักเพลาน่าจะลอยเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำ สุดท้ายรถเครนที่ควรใช้เพื่อการยกของกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือในการไถ หากไม่ยอมจ่ายค่าไถที่สูงถึง 7 หมื่นบาทก็จะถูกตำรวจทำสำนวนริบรถทันที ทั้งที่รถเคนไม่ใช่ราคาถูก ๆ ราคาคันหนึ่ง 4-10 ล้านบาท
สิ่งที่น่าเศร้าเวลาเกิดภัยพิบัติ เช่น ตึก สตง.ถล่ม หน่วยงานราชการกลับขอความช่วยเหลือจากสมาคมผู้ประกอบการรถเครน โดยบอกว่าให้เอารถเครนออกมาช่วยเหลือ ยื่นเงื่อนไขว่าจะยกเว้นไม่จับ พ้นช่วงภัยพิบัติไปแล้วว่ากันใหม่ ปัญหานี้มีสาเหตุมาจากประกาศผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน และผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทาน รวมถึงประกาศกรมทางหลวงที่ คค0643/530 เรื่องหลักเกณฑ์การขออนุญาตให้ยานพาหนะเดินบนทางหลวงพิเศษทางหลวงแผ่นดินและทางหลวงสัมปทานลงวันที่ 22 ธันวาคม 2548 ซึ่งทั้งอธิบดีกรมทางหลวง อธิบดีกรมทางหลวงชนบท และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต่างก็ทราบกันดี แต่แทนที่จะเร่งแก้ไขกฎหมายและจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ทางอย่างสมเหตุสมผลเพื่อเอารายได้เข้ารัฐ แต่กลับปล่อยให้มีการรีดไถไม่จบไม่สิ้น
โดยในปีงบประมาณ 2569 กรมทางหลวงชนบทมีแผนจัดซื้อรถเครน 6 ล้อ จำนวน 2 คัน คันละ 3.78 ล้านบาท รวมงบประมาณ 7.56 ล้านบาท ซึ่งหากยังไม่มีการแก้ไขกฎหมาย เท่ากับว่ากรมทางหลวงชนบทกำลังซื้อครุภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายมาใช้งาน ตนเองทราบมาว่าผู้ประกอบการรถเครนหลายรายเริ่มทนไม่ไหวกำลังระดมอาสาสมัครพลเมืองดีไปเฝ้าตามแขวงทางหลวงและหน่วยงานราชการต่าง ๆ เมื่อไรที่รถเครนของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบทออกมาวิ่ง พลเมืองเหล่านี้จะชี้ให้ตำรวจจับ คราวนี้อธิบดีกรมทางหลวง อธิบดีกรมทางหลวงชนบทจะรับผิดชอบไหวหรือไม่ ตำรวจจะไม่จับก็ไม่ได้ เพราะจะถูกละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ กฎหมายลักลั่นแบบนี้ปล่อยไว้ได้อย่างไร
นายวิโรจน์ จึงขอตัดงบประมาณในการจัดซื้อรถเครนของกรมทางหลวงชนบท และให้กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ตลอดจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับรถเครนให้สอดคล้องกับโลกใบนี้ เหมือนกับที่ประเทศอื่น ๆ ทำเพื่อไม่ให้รถเครนที่ผลิตตามมาตรฐานอุตสาหกรรมถูกต้องตามหลักวิศวกรรมกลายเป็นของผิดกฎหมาย เพียงเพราะกฎหมายของประเทศไทยล้าหลัง และไม่สมเหตุสมผล ไม่คำนึงถึงหน้าที่การใช้งานของรถเครน ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการที่ประกอบวิชาชีพโดยสุจริต และยังเป็นการเปิดช่องให้มีการขูดรีดผู้ประกอบการที่ทำอาชีพโดยสุจริตอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อไรก็ตามที่กฎหมายแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ในปีถัดไปจึงของบประมาณก้อนนี้กลับมาใหม่