‘รังสิมันต์’ ห่วง ‘กัมพูชา’ จะรักษาข้อตกลงเวที ‘จีบีซี’ แค่ไหน
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซีย ว่า การรักษาข้อตกลงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งต่างฝ่ายไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แต่สิ่งที่ต้องคำนึงต่อไปคือการเจรจาจากครั้งนี้ยังไม่จบ เพราะจะต้องมีการพูดคุยกันต่อในเวทีอื่นๆ สิ่งที่ท้าทายคือทำอย่างไรให้การเจรจามีผลอย่างยั่งยืนระหว่างไทย-กัมพูชา
“ส่วนตัวมองว่าผลการเจรจาที่ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่คาดหมายเอาไว้อยู่แล้ว และผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ที่กังวลมากกว่านั่นคือสุดท้ายทางกัมพูชา จะสามารถรักษาข้อตกลงได้มากน้อยเพียงใด หากพิจารณาเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่สามารถมองอย่างไว้วางใจได้ จึงเสนอแนะให้ไทยรักษาความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ เพราะสุดท้ายการขัดกันทางอาวุธเมื่อเริ่มต้น และอยู่ชั่วคราวหลังจากยิงกันไปแล้ว สิ่งสำคัญที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ คือการรักษาความชอบธรรม ประเทศไทยจะต้องรักษาความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ให้ได้ หากรักษาได้ในระยะยาว จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อประเทศไทยมากกว่า” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีเอ็มโอยู 2543 และ เอ็มโอยู 2544 ในเรื่องการยกเลิกว่าหากใครต้องการยกเลิกทางกัมพูชาต้องการด้วยหรือไม่ หรือหากมีการยกเลิกจะมีอะไรมาแทนที่และได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าได้อย่างไร ในสถานการณ์ที่ไทย-และกัมพูชาคุยกันไม่ได้ ทำให้ต้องไปเจรจากันที่ประเทศมาเลเซีย จะมีเครื่องมืออะไรมาเป็นกลไกทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในประเด็นแผนที่ 1:200,000 สิ่งที่จะมาแทนที่เอ็มโอยู 2543 ในขณะนี้ยังไม่มี จึงคิดว่าความเร่งด่วน ในการยกเลิกเอ็มโอยู 2543 ยังไม่ได้มีในตอนนี้ ซึ่งกรอบในการเจรจาในลักษณะนี้มีมานานแล้ว และยังไม่มีปัญหา อาจจะแก้ไขปัญหาต่างๆ ค่อนข้างช้า เฉพาะความชัดเจนในเรื่องเส้นเขตแดน และปัญหาที่ทำให้เกิดการปะทะกันในพื้นที่ชายแดนไม่ได้เกิดจากเอ็มโอยู 2543 แต่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล ที่ตกต่ำลงแล้วทำให้นำเรื่องเส้นเขตแดนมาสร้างเงื่อนไข เพื่อเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง แต่ต้องไปหาคำตอบว่าคืออะไร
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนเอ็มโอยู 2544 บางส่วนมีปัญหาจริงๆ แต่หากจะยกเลิกในสถานการณ์ตอนนี้ คำถามคือในเวทีนานาชาติจะมองการยกเลิกอย่างไร และท่าทีของกัมพูชา หากไม่ยอมยกเลิก ไทยจะหาทางออกอย่างไร เป็นโจทย์ที่ต้องคิด เข้าใจว่าจะมีการหารือเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎรหลังจากที่มีการยื่นญัตติของ สส. และเห็นว่าหากมีการสร้างกลไกในการศึกษาเกี่ยวกับผลได้ผลเสียเอ็มโอยู 43 เอ็มโอยู 44 ตนสนับสนุน แต่จะให้ตัดสินใจในทันทีเรื่องของการยกเลิก ในสถานการณ์นี้อาจจะเป็นการตัดสินใจที่เร่งด่วนเกินไป ต้องหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเอ็มโอยู 44 อาจจะมีปัญหาบางประการเกิดขึ้น
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงปัญหากรณีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งล่าสุดทาง ศบ.ทก.ตั้ง น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี มาทำหน้าที่โฆษก ศบ.ทก.ว่า ประเทศไทยจะชนะในปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้มีกรณีเดียว คือการยอมรับจากนานาชาติ ซึ่งวันแรกที่มีการยิงกัน ทุกฝ่ายต่างรู้ดีว่าจะยุติด้วยการเจรจา ซึ่งคือโลกแห่งความเป็นจริง และต้องยอมรับให้ได้ และความชอบธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญ ยอมรับว่ารัฐบาลจะตั้งบุคคลมาทำหน้าที่สื่อสารเป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่าดูเหมือนจะช้าไป ไม่ใช่เพียงใครเป็นผู้สื่อสาร แต่องค์ประกอบข้อมูลให้เท่าทันกันมีความจำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจน
“กรณีตาควายเป็นการสร้างความคาดหวังที่ผิดให้กับชาวไทย รวมไปถึงสถานที่ช่องอานม้า เชื่อว่าสามารถพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาได้ ความถูกต้องของข้อมูลเป็นเรื่องที่สำคัญ และการสื่อสารที่รวดเร็วเป็นเรื่องสำคัญ และการพานักการทูตลงไปดูพื้นที่ควรทำได้เร็วกว่านี้” นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ทางกัมพูชาไม่ยอมรับข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดการกับทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนและการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นเศรษฐกิจที่สำคัญของกัมพูชา ซึ่งนักวิชาการบางคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีถึง 30% และจากข้อมูลหน่วยงานระหว่างประเทศระบุว่าอาจจะถึง 40% หรือมากกว่านั้น แต่เสียดายรัฐบาลไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาขยายผลให้มากกว่านี้ และใช้กรณีแสวงหาพันธมิตรในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนการวางกับระเบิดในพื้นที่ผิดอนุสัญญาออตตาวา ก็ยังมีการขยายผลน้อย เข้าใจบรรยากาศในการเจรจาแต่ละปัญหาที่จะต้องนำไปแก้น่าเสียดายที่ยังไม่เห็น
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ทั้งนี้ขอชื่นชมบทบาทการทำหน้าที่ของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม แต่ขอตั้งคำถามกระทรวงการต่างประเทศทำอะไร และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ควรมีบทบาทมากกว่านี้หรือไม่ ไม่ใช่บทบาทของกองทัพ แต่เป็นบทบาทของรัฐบาลที่ต้องแก้ไขปัญหา ก่อนจะทักท้วงเรื่องของปัญหาการเบิกงบประมาณเยียวยาในพื้นที่ ปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้น ทั้งที่รู้อยู่แล้วและเตรียมการอยู่แล้ว ไม่ควรโทษกันไปมา โดยเฉพาะการโทษจากฝั่งรัฐบาล
“มันเป็นการแสดงถึงวุฒิภาวะว่ารัฐบาลไม่มีวุฒิภาวะในการรับมือกับปัญหา และก็ใช้วิธีการโทษกันไปมา หากจะดีกว่ารับไปว่าจะแก้ไขบอกเวลากับประชาชนว่าจะได้รับการเยียวยาเมื่อไหร่ ผมคิดว่าการสร้างความชัดเจนในข้อมูลตรงนี้จะทำให้การจัดการกับความคาดหวังของประชาชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายรังสิมันต์ กล่าว.