ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดสะเทือนหนัก ส่อไร้พลังหลังหั่นกองทุน
ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … เป็นกฎหมายที่สังคมไทยจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะถูกคาดหวังว่าจะเป็นกรอบสำคัญในการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นพิษ PM2.5 อย่างยั่งยืน
โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ปิดการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไปแล้วเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 2,602 คน ซึ่งกว่า 93% เห็นพ้องว่าควรมีกลไกสำคัญอย่าง “กองทุนอากาศสะอาด” อยู่ในเนื้อหา
ล่าสุดเกิดแรงสั่นสะเทือนในกระบวนการยกร่างกฎหมาย เมื่อมีรายงานว่า กรรมาธิการจากฝั่งคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เสนอให้ตัด “หมวดกองทุนอากาศสะอาด” ออกจากร่าง พ.ร.บ. โดยยังไม่มีการให้เหตุผลเชิงวิชาการที่ชัดเจน
ข้อเสนอนี้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้เครือข่ายอากาศสะอาดและภาคประชาชนออกมาคัดค้านอย่างหนัก โดยยืนยันว่าหากกองทุนถูกตัดออกไป ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดก็จะกลายเป็นเพียงนโยบายที่ไร้พลัง ขาดเครื่องมือทางการเงินที่จะทำให้มาตรการต่างๆ เดินหน้าได้จริง
กองทุนอากาศสะอาด หัวใจของร่างกฎหมาย
หมวดกองทุนอากาศสะอาดถือเป็นหัวใจสำคัญของร่างกฎหมาย เนื่องจากออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการจัดการคุณภาพอากาศ โดยยึดหลักสากล “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) รายได้จากกองทุนจะถูกนำไปใช้สนับสนุนมาตรการควบคุมมลพิษ การปรับเปลี่ยนสู่การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการสร้างระบบรับมือฉุกเฉินเมื่อเกิดวิกฤติคุณภาพอากาศ
ข้อจำกัดกองทุนสิ่งแวดล้อม
ก่อนที่จะมีแนวคิดกองทุนอากาศสะอาด ประเทศไทยมี “กองทุนสิ่งแวดล้อม” ภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพื่อเป็นมาตรการทางการเงินในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ผ่านการให้เงินอุดหนุนและเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ อย่างไรก็ตาม งานศึกษาของสุปรียา แก้วละเอียด และนัษฐิกา ศรีพงษ์กุล พบข้อจำกัดสำคัญ 3 ด้าน
โครงสร้างกองทุน
กองทุนสิ่งแวดล้อมไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลและมีฐานะเป็นส่วนราชการ ต้องดำเนินงานตามระบบราชการ ทำให้ขาดความคล่องตัว และไม่สามารถนำทรัพย์สินไปสร้างผลประโยชน์หรือเป็นผู้ฟ้องคดีได้
การจัดหารายได้
แหล่งรายได้มีจำกัด เช่น การจัดสรรจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้เพียงครั้งเดียว เงินทุนหมุนเวียนที่ถูกยกเลิก รายได้จากค่าปรับซึ่งเก็บได้ยาก และเงินอุดหนุนจากรัฐที่ไม่ต่อเนื่อง ขณะที่รายได้จากเอกชนไม่เคยได้รับ
การจัดสรรเงิน
กระบวนการอนุมัติและเบิกจ่ายล่าช้า เงินส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่เงินอุดหนุนมากกว่าการปล่อยกู้ ทำให้หมุนเวียนเงินไม่ทัน
รายงานประจำปีสะท้อนปัญหาด้านการเงินชัดเจน ปีงบประมาณ 2567 กองทุนสิ่งแวดล้อมมีรายรับเพียง 45.33 ล้านบาท แต่มีรายจ่ายสูงถึง 306.99 ล้านบาท ปี 2566 มีรายรับเพียง 37.76 ล้านบาท แต่มีรายจ่ายสูงถึง 584.19 ล้านบาท
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่ากองทุนสิ่งแวดล้อมไม่สามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหามลพิษอากาศที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลได้
เหตุผลที่กองทุนอากาศสะอาดจำเป็น
กองทุนอากาศสะอาดถูกออกแบบให้มีสถานะเป็นนิติบุคคล และมีแหล่งรายได้ที่ชัดเจน เช่น เงินทุนประเดิมจากรัฐบาล ค่าธรรมเนียมเพื่ออากาศสะอาด ค่าปรับมลพิษ เงินสินไหมจากการดำเนินคดี และเงินสนับสนุนจากทั้งในและต่างประเทศ เงินทั้งหมดถือเป็นเงินนอกงบประมาณแผ่นดิน ไม่ต้องนำส่งคลัง และสามารถนำมาใช้ได้อย่างยืดหยุ่น
หลักคิดสำคัญคือ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เครื่องจักรอุตสาหกรรม หรือสินค้าที่ปล่อยมลพิษสูง ต้องรับผิดชอบต้นทุนมลพิษของตน เงินที่จัดเก็บได้จะถูกนำมาใช้ในการป้องกันและจัดการมลพิษทางอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ตรงเป้า และยั่งยืน