ชี้ชะตาขุมทรัพย์ทะเล! "ภท." ดันตั้ง กมธ.รื้อ MOU เขตทับซ้อน "ณัฐพงษ์" ห่วงกระทบเจรจา "นพดล" เตือนเสี่ยงฟ้องศาลโลก"
วันที่ 28 ส.ค 2568 มีการประชุมสภาฯ จากนั้นที่ประชุมสภาฯอนุโลมให้ผู้เสนอญัตติเอ็มโอยู 43 และ 44 ทั้ง 5 คน ได้ชี้แจงในหลักการ และเหตุผล ของการเสนอญัตติแต่ละคน แต่เมื่อถึงตอนอภิปรายของสมาชิก จะให้เป็นการประชุมลับ
โดยน.ส.แนน บุญธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย ชี้แจงการเสนอญัตติว่า ความตั้งใจของพรรคภูมิใจไทยที่เสนอญัตตินี้ เพราะอยากให้ศึกษากฎหมายต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ นำผลการศึกษามาให้ประชาชนตัดสินใจ เรื่องเอ็มโอยู 44 นับตั้งแต่มีการเซ็น ยังไม่เคยมีผลสรุปได้แม้แต่ครั้งเดียวว่า จะกั้นเขตหรือลากเส้นแบบใด ผ่านไปกี่ปีก็คุยไม่จบ ไม่รู้จะเดินหน้าหรือถอยหลัง หากจะให้ยกเลิกเอ็มโอยู 43 และ 44 จึงควรตั้งกมธ.มาพิจารณาศึกษา แล้วให้ประชาชนตัดสินใจ การยกเลิกเอ็มโอยู43 และ44 ไม่ใช่จะล้างทุกอย่างทั้งหมด เหตุใดเราเป็นฝ่ายเดียวที่ยังกอดไว้ เป็นผลประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องอธิปไตย แต่คนที่ถูกกระทำวันนี้ มีแต่คนไทยและทหารไทยใช่หรือไม่ แม้หลังจากนี้จะประชุมลับ แต่อยากให้ทุกคนร่วมกันตั้งกมธ.ขึ้นมา
ด้านนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้เสนอญัตติ กล่าวว่า ขอสนับสนุนให้ตั้งกมธ.มาศึกษาเอ็มโอยู43และ44ก่อน แล้วส่งต่อให้รัฐบาลชุดหน้าที่มาจากการเลือกตั้ง และมีความชอบธรรมสูงกว่านี้เป็นผู้พิจารณา เข้าใจดีถึงข้อกังวลของสมาชิกที่บอกเอ็มโอยูขาดประสิทธิภาพ แต่ถ้าจะรื้อกระบวนการทั้งหมด ต้องอย่าลืมเรื่องผลกระทบด้วย เรามีจุดประสงค์เดียวกันคือ ให้ประเทศไทยมีอำนาจต่อรองมากที่สุด แต่ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนส่งผลการศึกษานี้ให้รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมพิจารณา
ทั้งนี้กรอบการพิจารณาของกมธ.ควรมี 4 ข้อคือ 1.ศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเวทีระหว่างประเทศ 2.ศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทวิภาคีในการเจรจาด้านเขตแดน 3.หากจะยกเลิกเอ็มโอยู จะต้องมีกลไกอื่นมาแทนที่เรื่องการเจรจาไทย-กัมพูชา 4.การตกลงด้านเขตแดนของประเทศ ระหว่างที่ขาดกลไกเดินหน้าปักปันเขตแดนทั้งสองประเทศ ตนเห็นด้วยใช้กลไกสภาฯ ให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุดในการเจรจา แต่อย่าลืมการเยียวยาบาดแผลที่ฝังลึกของคนไทยจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล อยากให้สภาฯ ตั้งกมธ.วิสามัญมาศึกษาเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบ
ขณะที่นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวนำเสนอญัตติว่า การยกเลิกเอ็มโอยู43 มีข้อเสียมากกว่าข้อดี ทำให้การแก้ไขเขตแดนไม่มีกรอบเจรจา และไม่สามารถห้ามกัมพูชาไม่ให้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ ถ้าไปสร้างวัด โรงเรียน หรือตลาด ไม่สามารถประท้วงได้ อาจต้องใช้กำลังทหารผลักดัน เสี่ยงการปะทะต่อสู้ เมื่อไม่มีกรอบเจรจา ทำให้กัมพูชายกระดับเรื่องเขตแดนไปศาลโลก การมีเอ็มโอยู43 ทำให้ไทยได้เปรียบ ไม่ได้คิดเอง เพราะกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงต่างประเทศแถลงชัดเจน เอ็มโอยู43 ทำให้ไทยได้เปรียบ ส่วนเอ็มโอยู 44 เป็นสิ่งยืนยันเขตแดนและผลประโยชน์ทางทะเลให้กัมพูชาและไทยต้องเจรจาร่วมกัน กัมพูชาอยากเจรจาเรื่องผลประโยชน์แก๊ส และน้ำมัน แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะเอ็มโอยูกำหนดให้ทำได้ เมื่อเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนร่วมกันไปด้วย ส่วนเฟกนิวส์ที่ระบุว่า อดีตนายกฯบอกหากตกลงไม่ได้ ให้แบ่ง 50 ต่อ50 นั้นไม่จริงและเป็นไปไม่ได้ มีบางคนกล่าวหาในโซเชียลมีเดียว่า เป็นเอ็มโอยูขายชาตินั้น ไม่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง และเหตุผล ยินดีหากสภาฯมีมติตั้งกมธ.ศึกษา ระดมสมองรับฟังความเห็น