ไทยนี้รักบริจาค
“กองทัพภาคที่ 2 ขอรับการสนับสนุน ‘ลวดหนามหีบเพลง’ จำนวนมาก
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100 ซ.ม. เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกันอธิปไตยของไทย”
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 2 ต้องเจอกับข้อครหาหลังเปิดรับบริจาคลวดหนามหีบเพลงจำนวนมาก แม้ว่าประเทศไทยจะมีงบประมาณที่สามารถนำมาใช้ในยามฉุกเฉินได้ แต่ขณะเดียวประชาชนจำนวนมากต่างเห็นด้วยกับการบริจาคและกล่าวว่า ‘พร้อมโอน’ มากไปกว่านั้นชาวไทยผู้รักสงบก็ออกมาปกป้องเหล่าทหารกล้า จากเสียงที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการเปิดรับบริจาคของกองทัพภาคที่ 2
เพราะคนไทยขึ้นชื่อว่าใจดี ที่ไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์ ก็คอยช่วยเหลือกันให้ผ่านพ้นวิกฤต ดังวลีที่ชอบกล่าวกันว่า ‘คนไทยไม่ทิ้งกัน’
แม้ว่าการบริจาคจะมีข้อดีมากมาย ไม่ว่าจะช่วยเหลือผู้อื่นในยามลำบาก แสดงความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน และสามารถส่งเสริมภารกิจของราชการได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการบริจาคก็เป็น ‘ดาบสองคม’ เช่นกัน
“ถ้าขาดจริงๆ บอกมา เรามีงบประมาณให้อยู่แล้ว และได้บอกไปแล้วว่า ตอนนี้อะไรที่สามารถเอามาจากตรงไหนได้ให้เอามาก่อน ตรงไหนขาดบอกมา จะใช้วิธีพิเศษที่สามารถพิจารณาให้ได้เลย ขอให้ได้ของ รัฐบาลยืนยันว่า อะไรที่ขณะนี้เป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับกำลังพลในการรักษาอธิปไตยของประเทศ รัฐบาลนี้ไม่ขัดข้อง เปิดงบกลางให้ใช้อยู่แล้ว” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ กล่าว
เหตุการณ์ที่ขึ้นเกิดขึ้น นอกจากสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของรัฐบาลไทยและกองทัพแล้ว ยังชวนเราตั้งคำถามต่อได้ว่า ทำไมเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติ สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือสถานการณ์ความขัดแย้ง รัฐไทยหรือกองทัพถึงต้องเปิดรับบริจาค
ในทุกปีรัฐบาลไทยจะมีการจัดสรรงบประมาณที่เรียกว่ารายจ่ายประจำปี ซึ่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 หมวด 1 บททั่วไป ระบุโดยสรุปว่า มีวงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท และจำแนกเป็นรายจ่ายตามที่ระบุในพระราชบัญญัติ
คำถามคือ ในเมื่อประเทศไทยมีงบกลางที่จัดสรรและสามารถใช้ได้ในยามฉุกเฉิน แต่ทำไมคนที่ออกมาแสดงความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับการเปิดรับบริจาคของกองทัพภาคที่ 2 ถึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘ไม่รักชาติ’ ไม่เข้าใจทหาร หรือผู้ปฏิบัติหน้างาน
แต่หากเราลองลดอคติ หรือความคลั่งรักลงแล้ว ก็จะเห็นว่า หลายความเห็นนั้นไม่ได้ออกมาพูดเพื่อขัดขวางกองทัพ หรือแสดงการกีดกันแต่อย่างใด เช่น รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ก็ให้สัมภาษณ์ว่า
“เรามีงบประมาณที่เรียกว่างบกลาง เราสามารถใช้งบประมาณตรงนี้ในการที่จะดำเนินการให้มันสอดคล้องกับวิกฤตหรือปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ ซึ่งผมคิดว่าเป็นประโยชน์ที่สุด การที่เรามีงบประมาณหล่อเลี้ยงในการแก้ปัญหาที่เพียงพอเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุด แล้วมันยังทำให้เราการันตีได้ว่า เราจะได้ของที่ได้มาตรฐาน
“ลวดหีบเพลงไม่ได้เป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ สิ่งที่มันอาจจะเรียกว่า มีความสลับซับซ้อนมากนัก แต่ผมคิดว่าอย่างไรก็ตามใช้เงินภาษีของประชาชนน่าจะเป็นสิ่งดีที่สุด แล้วผมก็เชื่อว่าในเวลานี้ทุกฝ่ายก็พร้อมจะสนับสนุนในการที่จะรักษาอำนาจอธิปไตยของกองทัพอยู่แล้ว
“ ดังนั้นการที่จะไปเปิดรับบริจาคต่างๆ ผมก็เป็นกังวลว่าสุดท้ายมันอาจจะนำไปสู่ประเทศอื่นเขาอาจจะมองได้ว่า หรือว่าเราไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการที่จะดูแลกองทัพ ซึ่งมันอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกฮึกเหิมของรัฐอื่นว่า ประเทศไทยไม่มีงบประมาณที่เพียงพอ ดังนั้นอาจนำไปสู่การยั่วยุเพื่อสร้างความขัดแย้ง”
จากการให้สัมภาษณ์จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องปกติที่ประเทศอื่นๆ ต่างก็ทำ เพราะรัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการรับมือกับสถานการณ์ หรือภัยพิบัติฉุกเฉินเหล่านี้อยู่แล้ว
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ในหัวข้อความไว้วางใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง พบว่าร้อยละ 75.42 พอใจกองทัพมาก รองลงมาร้อยละ 4.81 กระทรวงการต่างประเทศ และร้อยละ 4.27 รัฐบาลไทย ซึ่งคะแนนความไว้วางใจของกองทัพมากขึ้นกว่าแบบสำรวจในเดือนมิถุนายน จากเดิม 61.76% สวนทางกับความพึงพอใจต่อรัฐบาลที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากเดิม 10.31%
ผลสำรวจนี้ช่วยอธิบายสถานการณ์และ ‘ดราม่า’ ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่า คะแนนความภาคภูมิใจต่อกองทัพนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้ง แถมยังช่วยลดข้อกังขาต่างๆ ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาต่อคำถามที่ว่า ‘กองทัพมีไว้ทำไม’
แต่สิ่งสำคัญคือ หากมาย้อนดูแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลหรือกองทัพ เปิดรับบริจาค เช่น การบริจาคในเหตุกราดยิงจังหวัดหนองบัวลำภู เปิดรับบริจาคช่วยผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ เปิดรับบริจาคน้ำท่วมภาคเหนือจากเหตุพายุโซนร้อนนางิ และเปิดรับบริจาคกองทุนสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ภาพเหล่านี้ช่วยแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยเลือกวิธีการบริจาคมาใช้เป็นเครื่องมือส่วนหนึ่งของการบริหารประเทศ โดยใช้เงินของ ‘ประชาชน’ มาช่วยเหลือ ‘ประชาชนเอง’ แทนที่จะใช้งบประมาณส่วนกลางที่จัดสรรไว้อยู่แล้วทุกปี
อีกทั้งเหล่านี้ยังทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นประเทศ ‘อนาถา’ ที่ต้องเปิดรับบริจาคเพื่อดูแลประชาชนในประเทศอยู่เสมอ
นอกจากนี้ยังเป็นการทำลายและบั่นทอนรัฐสวัสดิการที่ประชาชนพึงได้รับ เปลี่ยนจากหน้าที่ที่ ‘ต้อง’ ทำของรัฐบาล หรือหน่วยงานราชการใดๆ เป็นการ ‘สงเคราะห์’ ได้บุญ คะแนนเสียง และความนิยม แม้ว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รัฐบาลต้องทำอยู่แล้วก็ตาม
ไม่ใช่แค่การบริจาคต่อภาครัฐ แต่คนไทยยังมีจิตใจดีต่อภาคส่วนต่างๆ ทั้งการทำบุญกับวัด หรือกับหมาแมว แน่นอนว่าการทำบุญบริจาคเป็นเรื่องดี แต่เราไม่ควรให้หน้าที่รัฐบาลที่ต้องดูแลประชาชน หันมาใช้วิธีขอเงินประชาชนเพื่อนำไปสงเคราะห์ประชาชนอีกที