โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

การกลับมาโคจรของดวงดาว ‘STOONDIO’ The Unseen Star’s Still Here ถึงจะมองไม่เห็น แต่ฉันยังอยู่ตรงนี้นะ!

a day magazine

อัพเดต 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • a day magazine

บ่ายตรงวันศุกร์ แสงแดดยังไม่ทันพ้นกลางหัว อากาศอบอ้าวซะจนใบไม้ไม่ขยับ หากให้เดาคนที่เรานัดมาคงไม่แต่งเสื้อคลุมหนาเป็นแน่ วันนี้เรานัดเจอเธอที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งย่านเจริญกรุง อเมริกาโนเย็นที่สั่งมายังไม่ทันละลาย ร่างที่เรารอก็ปรากฏเด่นมาแต่ไกล หญิงสาวผมสั้นหยักศก สวมเสื้อยืดคอกว้าง กำลังเดินตรงเข้ามาที่ร้าน ตรงสูตร! เราทำการบ้านมาแล้วว่าเธอต้องใส่ชุดนี้แน่! นั่นคือ ตูน-โชติกา คำวงศ์ปิน’หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘STOONDIO’ (สตูนดิโอ)

“ฉันจะรู้จักเธอ เท่าที่เธอให้ฉันรู้จัก

ฉันจะยิ้มให้เธอ เท่าที่เธอให้ฉันยิ้มให้

ฉันจะสัมผัสเธอ เท่าที่เธอให้ความจริงใจ

และจะเป็นอย่างนี้ จนต่อไป”

ยินดีที่ได้พบเธอ - STOONDIO : PLURAL (OFFICIAL AUDIO)

‘ยินดีที่ได้พบเธอ’ เป็นเพลงดังของเธอเมื่อปี 2015 ที่ใครได้ฟังคงรู้สึกเหมือนชื่อเพลง ตูนถือว่าเป็นนักร้องหญิงเดี่ยวอินดี สไตล์เพลงดนตรีช้าๆ สบายหู เธอถูกส่องแสงในช่วงปลายยุค 2010 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอเป็นคนเดียวที่ถูกส่องแสง ขณะเดียวกันในอุตสาหกรรมเพลงยุคนั้น ยังมีศิลปินอีกมากหน้าหลายตาที่ผลิตเพลงออกมาเป็นมดงาน ทั้งกระแสเพลงหลักและรอง การเดินทางบนเส้นทางดนตรีที่ผ่านมาจึงไม่ง่าย แต่เธอยังคงผลิตผลงานออกมาเรื่อยๆ และสู้มาถึงทุกวันนี้!

เมื่อไม่นานมานี้เธอประกาศจัดคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิต ‘The Unseen Star’s Still Here’ เธอมาในคอนเซปต์ที่แทนค่าตัวเองเป็น ‘ดวงดาว’ คอนเสิร์ตนี้จึงเป็นเหมือนยานอวกาศที่จะพาแฟนคลับหน้าเก่า และหน้าใหม่ร่วมโคจรรอบดวงดาวนี้ไปด้วยกัน และนี่ก็เป็นเหตุให้เรามานั่งอยู่ตรงหน้าเธอวันนี้ เพื่อพูดคุยถึงเรื่องการเดินทางบนดาวนี้ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา เธอค้นพบอะไรมาบ้าง

“เรากำลังนึกเลยว่าวันนี้ตูนจะใส่เสื้อยืดคอกว้างไหม” เราทักทายจุดเด่นของตูน ที่แทบจะกลายเป็นไอคอนิกไปแล้ว

“มันใส่แล้วสบาย ไม่ต้องคิดเยอะ ราคาถูกด้วย นี่สั่งในแอปส้มนะ ไปซื้อเลย” เป็นคำตอบที่ธรรมดามาก แต่เพราะความธรรมดาของเธอนี่แหละที่ทำให้เราสนอกสนใจ หลังจากบรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย เราจึงเริ่มเปิดบทสนทนา

“เราเริ่มติดตามตูนจากเพลงยินดีที่ได้พบเธอ ชอบมากเลย”

“โหย หลายปีแล้ว!” ตูนตอบกลับ สักพักเหมือนเธอนึกขึ้นได้เลยบางอ้อขึ้นมา “เมื่อเช้ามีเด็กมาสัมภาษณ์เพื่อนำไปทำเป็นจุลนิพนธ์ เราแอบตกใจแต่ก็ดีใจ เพราะมันกินเวลานานถึง 6 เดือน เขาให้เหตุผลว่า 6 เดือนมันนานพอที่ผมจะทำเรื่องพี่ได้ เราก็โห! มึงจะอยู่กับความเป็นกู 6 เดือนนี่นะ! และเขาเพิ่งมารู้จักเราตอนต้นปีนี้เอง เราทำเพลงมา 13 ปี ทุกปีเราก็มีโอกาสจะเป็นคนใหม่ของคนที่เพิ่งรู้จักเราได้เหมือนกันนะ เราคือศิลปินใหม่สำหรับเขา ทั้งๆ ที่เราแม่งเก่าชิบหาย”

เป็นประโยคจากตูนที่ทำให้เราได้กลับมาคิดว่าดาวดวงนี้อยู่บนฟ้านานแค่ไหนแล้วนะ คราวนี้แหละ คงถึงเวลาที่ดาวดวงนี้จะถูกมองเห็นบ้างแล้ว

สำรวจพื้นที่ดวงดาว STOONDIO

ถ้าไม่ได้ร้องเพลง วันธรรมดาของตูนเป็นยังไงบ้าง

ทุกวันนี้มันกลับมาเบสิกมากเลย มันไม่เท่เหมือนตอนวัยรุ่น ตอนเด็กๆ ยังได้อ่านหนังสือ ดูหนัง ไปเวิร์กชอป ใช้ชีวิตอะไรแบบนี้นะ แต่ทุกวันนี้แค่หาอะไรกินอร่อยๆ ก็พอแล้ว อาจจะเพราะว่างานมันเยอะ เสาร์อาทิตย์ต้องการความเรียบง่าย แล้วก็ชอบไปร้านของกินที่วัยเด็กเราไปกินไม่ได้ เพราะมันแพง แต่ตอนนี้เราจับจ่ายได้แล้ว อย่าง Sushiro จะเริ่มเบๆ ละ!

อยู่บนเส้นทางศิลปินนอกกระแสมา 13 ปี สำหรับตูนคำว่า ‘ศิลปิน’ คืออะไร

สำหรับเราศิลปินคือผู้สร้าง คือนักสร้างสรรค์อาร์ตอย่างหนึ่ง ซึ่งในความเป็นจริงก็เหมือนกันทุกอาชีพแหละเนอะ พ่อค้าแม่ค้า หรือเชฟที่ทำอาหารก็คือผู้สร้าง แต่ว่าศิลปินคือออกมาในรูปแบบเสียงและภาพที่จะเข้าถึงความรู้สึกของคนได้มากกว่า

ถ้านิยามตัวตนของตูนที่ไม่ใช่ ‘STOONDIO’ จะนิยามว่าอะไร?

ถ้าในช่วงระยะเวลานี้อายุ 35-37 ปี เราคือนักจัดการว่ะ เราคือพวก Life Management บางทีมากเกินไปด้วย แต่เป็นคนไม่ชอบไปทำอะไรที่ไม่ถูกเตรียมพร้อม มันสับสน มันประหม่า ชอบคิดล่วงหน้าไปก่อน เพราะเวลาไม่จัดการมันเหนื่อยเว้ย!

ถ้าเปรียบเทียบตัวเองเป็นอะไรสักอย่าง ตูนอยากเป็นอะไร

เราอยากเป็น Google Calendar บางทีตื่นมามันไม่ต้องคิดนะ เปิด Calendar ดูดิ เราเป็นคนชอบคิด ก็ต้องคิดให้เสร็จ เพราะว่าสุดท้ายหน้างานต้องคิดอยู่ดี แต่ถ้าคิดไม่เสร็จแล้วไปคิดหน้างาน จะเจอสถานกาณ์การล่ก แล้วสุดท้ายคืออะไร เครียด! เครียดแล้วสุดท้ายคืออะไร นิสัยไม่ดี นิสัยไม่ดีแล้วอะไร ก็ด่ากัน

เราจะไม่ชอบถ้าใครมาทำให้เราต้องแสดงด้านที่หงุดหงิดสูงมากๆ เพราะว่ามันยากนะ ที่เราจะแสดงความไม่น่ารักต่อกัน แต่พอเราเห็นไม่ตรงกัน มันง่ายมากที่เราจะแสดงความทุเรศต่อกัน สำหรับเราการจัดการหรือวิธีการที่จะทำอะไรร่วมกันจึงสำคัญ เพราะเราไม่อยากแสดงความทุเรศของเราให้เธอเห็นไง

จริงๆ แล้วถ้าเรามีเส้นทางของการจัดการตั้งแต่ต้น เรื่องพวกนี้ไม่ต้องไปเสียตังค์ให้จิตแพทย์เลยนะ แต่คนเขาไม่ค่อยชอบพูดเรื่องพวกนี้ เพราะเขารู้สึกมันเครียด ‘แต่เรื่องเครียดยิ่งต้องพูด’ เพราะเมื่อคุณเคลียร์กันบนเรื่องเครียดเรียบร้อย หลังจากนั้นคุณไม่ต้องคิดไรเลยจ้ะ

สิ่งที่ตูนให้ค่ามากที่สุดในช่วงนี้ คืออะไร?

สำหรับเราในช่วงนี้คือเวลาว่ะ เราอยู่เอเจนซีมาสิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ ถ้ากองถ่ายโฆษณาเสียหายมันระดับหมื่น ระดับแสนเลยนะ พอเราเจอเคสอย่างนี้บ่อยๆ ทำให้เข้าใจว่า บัดเจดเป็นตัวเลขที่คนมักจะให้คุณค่ามันสูง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ แต่อย่างหนึ่งที่คนมักจะไม่ค่อยให้ค่าคือเวลา คนมักจะชอบเอาไว้ก่อน คิดว่าเอาอยู่ สำหรับเราเรื่องเวลามันเป็นของที่ไม่ต้องแลกเป็นตังค์ แต่ว่าเผื่อเอาไว้ล่วงหน้าได้

เคยท้อบ้างไหม? แล้วทำยังไงให้ฮึบกลับมาทำต่อได้

ต้องกลับมาถามว่าตัวเองว่าท้อจากอะไร ทุกครั้งที่ท้อมันจะเป็นสเตป ถ้าท้อด้วยความรู้สึกเหนื่อยเพราะหิว ก็แค่ไปกินข้าว หรือเหนื่อยเพราะรู้สึกว่าร่างกายไม่โอเค ก็ไปอาบน้ำ แต่อันนี้มันคือขั้นที่ 1 นะ ถ้าขั้นนี้รู้สึกว่าแก้ไขแล้วยังไม่ดีขึ้น ต้องเขยิบไปขั้นที่ 2 แล้วว่าคืออะไร การท้อครั้งนี้มันไม่ได้อยู่แค่ระดับชั่วโมง มันเริ่มอยู่เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน

สมมุติว่ายอดวิวไม่ขึ้น เราก็เคยคิดนะว่ายอดวิวไม่ขึ้นเพราะอะไร แต่เราอย่าไปลงโทษมันด้วยการจะไม่ทำเพลงสิ แสดงว่าเราเอาตัวเองไปขึ้นอยู่กับคนฟังแล้วนะ เราไม่ได้เอาตัวเองขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรารัก แต่กว่าจะย่อยได้ก็อายุ 37 แล้วนะ 10 ปีนะเว้ยกว่าจะพูดคำนี้ได้

รู้สึกยังไงที่ตัวเองเป็นศิลปินอินดีรุ่นพี่สำหรับเด็กยุคนี้

“กูไม่ได้อยากอินดีขนาดนั้นค่า กูอยากแมสค่า”

ตูนพูดประโยคชวนหัวเราะ แล้วเราทั้งคู่นั่งขำด้วยกันอยู่พักหนึ่ง บรรยากาศตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับพี่น้องที่ก๊งเหล้าไปสักพักจนเริ่มเมาแล้ว

“เราขอบคุณมากๆ ที่เขารู้สึกอย่างนั้นกับเรา เพราะว่าเราเองก็รู้สึกอย่างนั้นกับศิลปินรุ่นพี่เหมือนกัน เขาไม่ต้องมารู้จักเราเยอะหรอก แค่เห็นอะไรบางอย่างจากตัวเราแล้วเขารู้สึกว่ามีทิศทางไปต่อ เราก็ขอบคุณมากแล้วว่ะ แต่อย่ามารู้จักเยอะกว่านี้นะ เดี๋ยวมันจะเกลียดเอา”

‘บทเพลง’ เป็นตัวแทนการเดินทางของดวงดาว

ถ้าต้องแนะนำสักเพลงของ STOONDIO ในแง่ของชีวิตที่ผ่านมา ตูนจะแนะนำเพลงไหน

เพลง ‘ขอบคุณ’ แล้วกัน

“จะไม่ขอสัญญา

หากฟ้ายังคงเปลี่ยนสีทุกเวลา”

Stoondio - ขอบคุณ (Official Audio)

เราเป็นคนไม่เชื่อเรื่องความจีรังยั่งยืน เพราะว่ามันไม่มีอยู่จริง เรารู้สึกว่าทุกอย่างมีเรื่องของเวลา เวลาเป็นสิ่งแปลกของโลกใบนี้นะ ไอสไตน์ยังขมวดไม่ได้เลยว่าเวลาคืออะไรเราแค่รู้สึกว่าเมื่อทุกอย่างเดินทางกันไปอย่างนี้ แล้วมันจะมีอะไรที่ถาวรได้วะ บางทีตื่นมายังไม่ชอบตัวเองเลย หรือมีบางวันที่แบบไอ้เหี้ย กูเบื่อตัวเองชิบเป๋งเลย แต่กูลาออกจากการเป็นตัวเองไม่ได้!

แล้วตูนจัดการกับมันยังไง

อาบน้ำ กินอะไรอร่อยๆ มันก็แค่เรื่องหนึ่ง ก็ปล่อยไป

เปรียบเทียบระหว่างการ ‘เขียนเพลง’ กับ ‘เล่าเรื่อง’ คิดว่าตัวเองเก่งเรื่องไหนมากกว่ากัน

‘เขียนเพลง’ เราไม่ได้เก่งในการเล่าเรื่องขนาดนั้น เพราะว่ามันยาวเกินไป แต่ถ้าในลักษณะคำประมาณ 200 คำ เราสรุปมันได้เก่ง สามารถทำให้มันอยู่ใน 3-4 นาที ได้ แต่เก่งในมุมเรานะ ไม่ใช่เก่งในมุมที่คนอื่นมอง แต่ถ้าเกิดถามเราเมื่อ 5 ปี 10 ปีที่แล้ว เราคงตอบคำถามนี้ไม่ได้ เพราะเรารู้สึกว่าในวันนั้นยังไม่มีหลักฐานมากพอว่าถนัดเรื่องนี้ แต่วันนี้มีหลักฐานแล้ว ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา นี่คือความแตกต่างของศิลปินรุ่นใหม่กับรุ่นเก่า สำหรับเรา เวลามันคือสิ่งที่ขโมยกันไม่ได้

ระหว่างเขียนเพลงจากเรื่องตัวเองกับเรื่องคนอื่น ชอบแบบไหนมากกว่า

จริงๆ ฟังเรื่องคนอื่นแล้วเอามาเขียนสนุกกว่าเจอเองนะ เพราะว่าเจอเองมันบาดเจ็บ เราไม่ชอบที่ตัวเองบาดเจ็บ ตอนนี้เลยไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเจ็บปวดกับทุกเรื่องเพื่อให้ได้งานสร้างสรรค์ มันจะประสาทแดก ทำไมฉันต้องไปเจ็บปวดถึงจะได้เขียนเพลงหนึ่งได้ร้อยล้านวิววะ! กูควรจะใช้ชีวิตแบบแฮปปี้ กินหมูกระทะได้สิ!

มีเรื่องอะไรที่เล่าออกมาเป็นเพลงอีกไหม

มีนะ มีเยอะเลย อย่างเราก็จะชอบสังเกต หรือใช้คำว่าชอบ ‘เสือก’ ก็ได้ เราชอบเสือกเวลาที่ใครสักคนมีพฤติกรรมแบบนั้นแบบนี้ ชอบไปคิดแทนเขา ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ดีหรอก แต่การคิดแทนเขาก็ไม่ได้ไปตัดสินเขานะ แต่เรากำลังจะวางเขาในสมอง ให้เราได้เข้าใจเพื่อมาวิเคราะห์หาข้อสรุป เพราะว่าวิธีการเขียนเพลงสำหรับเราคือการสรุปเหมือนกัน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่แท้จริงก็ได้ แต่ว่าเราสรุปให้มันเป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่จะย่อยออกมาเป็นเพลงได้หมดเลย

ปกติเป็นคนที่ชอบสังเกตตัวเองด้วยไหม

ใช่ เป็นคนชอบสังเกตว่าทำไมเราถึงคิดแบบนี้วะ ทำไมเรามีมุมมองต่อเพื่อนร่วมงานแบบนี้ วันนี้เราก็คิดว่าทำไมช่วงนี้คนในออฟฟิศออกเยอะวะ แล้วอยู่ดีๆ เราก็ตกใจกับคำถาม เพราะเราก็ไปถามคนอื่นว่า เคยตั้งคำถามไหมว่าทำไมช่วงนี้คนออกเยอะ แล้วเขาก็ตอบว่าไม่รู้! เราก็เอ้า! ไม่รู้แล้วก็รีเสิร์ชสิ ไม่งั้นก็แก้กันไปอย่างนี้! สมมุติว่าผู้จัดการพูดอะไรที่ไม่เข้าหูเรา 5 ครั้ง เราก็ต้องสังเกตตัวเองแล้วว่ากูไปทำอะไรให้มันพูดแบบนี้กับกูปะวะ หลังๆ เราก็เริ่มรู้สึกว่าทำไมเพื่อนแม่งไม่ค่อยเล่นกับกูวะ อ้อ กูสั่งงานมันเยอะ

ตูนเคยให้สัมภาษณ์ว่า ‘เพลงของตูนเป็นพื้นที่หลบภัยของตัวเอง’ ตอนนี้ยังรู้สึกแบบนั้นไหม

สำหรับเราตอนนี้ บางเพลงก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นพื้นที่หลบภัยแล้วนะ เพราะว่าเราจัดการตัวเองจนเรื่องนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว ส่วนใหญ่เพลงมันคือเรื่องในอดีตของเรามากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เรารู้สึกกับสิ่งนั้นจึงเขียนสิ่งนั้นออกไป เพลงมันเลยเป็นข้อสรุป หมายความว่าสิ่งนั้นเราจัดการได้มันแล้ว

‘The Unseen Star’s Still Here’

ถึงจะมองไม่เห็น แต่ยังส่องแสงอยู่ตรงนี้

คอนเสิร์ต The Unseen Star’s Still Here มีคอนเซปต์ยังไงบ้าง

คอนเซปต์ของคอนเสิร์ต ‘The Unseen Star’s Still Here’ คือดาวที่มองไม่เห็นแต่ยังอยู่ตรงนี้ เราแทนค่าตัวเองเป็นดวงดาว ในฐานะที่เราเป็นศิลปิน เราทำเพลง เราก็ต้องเคารพตัวเอง และเห็นคุณค่าในตัวเองด้วย เพราะเมื่อไหร่ที่เราไม่เห็นคุณค่าสิ่งที่เราทำ ก็ไม่มีใครเห็นคุณค่าเราแล้วนะ

คำว่าคุณค่า ถ้ามองเป็นภาพสัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย เรามองว่ามันคือ ‘ดวงดาว’ ซึ่งดาวก็มีทั้งเปล่งแสงมาก เปล่งแสงน้อย เราแทน ‘Stoondio’ เป็นเหมือนดาว ‘Interstellar’ แต่ด้วยยุคสมัยการทำเพลงตลอด 13 ปี คนฟังก็อาจจะห่างหายไป คนใหม่ๆ ก็เริ่มน้อยลง เพราะเราไม่ใช่วงของปัจจุบัน คอนเสิร์ตนี้ก็เหมือนโคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง เหมือนมาอัปเดตดาวดวงนี้กันหน่อยว่ามันมีไรอยู่บ้างวะ การอัปเดตครั้งนี้ก็เหมือนการมาดูว่า เอ้า! ยังทำเพลงอยู่เหรอ? ยังทำอยู่ค่า!

“ถามคุณกับทีมแล้วกัน ดาวที่เรามองไม่เห็นบนท้องฟ้าในตอนกลางวัน จริงๆ มันยังมีอยู่ไหม” ตูนถาม

“ยังมีอยู่นะ” เราตอบกลับไป

“ใช่ เราก็เป็นแบบนั้นแหละ ยัง Still Here นะ” บ๊ะ! ลึกซึ้งกินใจซะจริง

จุดไหนที่ทำให้ตูนตัดสินใจว่าจะมีคอนเสิร์ตครั้งแรก

ตอนแรกจะทำกันแค่เล็กๆ จะจัดอีเวนต์ประมาณ 400 - 500 คน คิดไปคิดมาเรื่องเชิงธุรกิจก็วางความเป็นไปได้ แต่กลายเป็นว่า 500 คนมันยาก เพราะว่าก้ำกึ่งระหว่างจะลงทุนสูงหรือลงทุนต่ำ ซึ่งในเรื่องของการตอบแทนเราก็ต้องดูด้านธุรกิจด้วย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเราเอาเปรียบทีมที่เขาร่วมเหนื่อยกับเรา มันไม่แฟร์ เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าเอาความฝันของเราไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทีนี้พอวางแผนเสร็จ เฮ้ยเอาวะ! เอาให้มันใหญ่ไปเลยเว้ย! ไม่มีใครเบรกใครทั้งนั้น แล้วในเศรษฐกิจเสี่ยงๆ แบบนี้ พอประกาศปุ๊บ! คนอื่นก็ประกาศกันเต็ม! ชิบหายละกู

มีเซอร์ไพรส์อะไรในคอนเสิร์ต The Unseen Star’s Still Here รึเปล่า?

“มี มีหลายอย่างเลย จนกูคิดว่ามีเยอะไปเปล่าวะ”

“สปอยล์ไหม สักหนึ่ง” เราคะยั้นคะยอแทนทุกคนแล้ว”

“คนซื้อบัตรยืน คุณจะรู้เลยว่าเรารักเขามาก เพราะบัตรยืนเป็นบัตรที่คนไม่อยากได้มากที่สุด เราก็ดันเป็นพวกรักมวยรองด้วยไง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่รักบัตรนั่งนะ เพราะเขาได้สิ่งนั้นด้วยความสะดวกจากการจัดระบบของเราแล้ว แต่บัตรยืนเป็นคนหมู่มาก เป็นคนกำหนดพลังงานในนั้น เราต้องให้เขารู้สึกว่าเขามีความสำคัญไม่ต่างอะไรจากบัตรนั่งหรอก”

“เราไปแอบส่องในเพจตูนมาด้วยนะ” เรากำลังล้วงข้อมูลเพิ่มให้พวกคุณ

“เพจอะไรวะ”

“เพจเฟซบุ๊ก Stoondio ที่โพสต์ขอคลิปแมว นี่ก็เป็นเซอร์ไพรส์ด้วยรึเปล่า?”

“จริงๆ ก็ไม่ได้เซอร์ไพรส์หรอกค่ะ เพียงแต่ว่ามันมีเพลงหนึ่งที่เล่าอะไรประมาณนี้ แล้วเราก็คิดว่าถ้ามันเล่าถึงน้องแมวแล้ว เราว่าดีที่สุดก็เอาน้องแมวนั่นแหละมาเล่น แต่ทำไมเราจะต้องไปถ่ายน้องให้เปลืองตังค์ล่ะ เราก็ไปขอน้องๆ คนอื่นสิ! แล้วเราก็ค้นพบว่า โห คนเห่อลูกเยอะมากเหมือนกันนะ”

ตูนเคยคิดว่า “ถ้ากูมีคอนเสิร์ตใหญ่มันจะเป็นยังไงวะ” บ้างไหม

มี ชัดมาก เหมือนงานเสร็จแล้วเนี่ย แต่ความชัดมันก็มีข้อเสียนะ แม่งไม่มีพื้นที่เหลือให้คนอื่นทำงานเลย เราเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์เป็นครีเอทิฟ ตามธรรมชาติมันก็ต้องเห็นภาพและเสียงในเวลาเดียวกัน นั่นหมายความว่าภาษาและภาพต้องไปคู่กัน แล้วกูเห็นไง ถ้ากูเห็นแล้วไม่บอกเขา ให้เขามานำเสนอแล้วยังไม่ใช่ กูก็สงสารเขา เขาก็จะเครียดแล้วมาบ่นกูอีก ขอโทษนะมึง อย่าไปถือว่าเราบงการเลยนะ แต่มันชัดจริงๆ!

จากประสบการณ์ที่ทำงานมาหลายด้านมีข้อดียังไงบ้าง

อาจจะเป็นเพราะว่าเราอยู่สายเอเจนซีด้วย เราซึมซับสิ่งนี้มาจากรุ่นพี่เวลาที่เขาทำงานหรือเวลาเอางานมานำเสนอ มันเห็นตัวอย่างที่ดีและไม่ดีเราก็จะไปขโมยตัวอย่างที่ดีของคนอื่นมา เราขี้ขโมยนะ เราขโมยมาเยอะมากเหมือนกันจากการอยู่เอเจนซีมาก่อน

ในฐานะที่อยู่วงการเพลงมานานมาก ตูนเคยถามตัวเองไหมว่า“ยังมีคนมองเห็นกูอยู่ไหมวะ”

เราว่ามันเป็นกันหมดแหละ มีทั้งความต้องการและความเข้าใจในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องการให้คนเห็นเรานะ แต่เราก็เข้าใจว่าที่เขาไม่เห็นมันเป็นเพราะอะไร แล้วก็เข้าใจธรรมชาติของคนด้วย เพราะขนาดศิลปินบางท่านที่เราเคยตาม ตอนนี้เราก็ยังไม่ตามเลย นั่นหมายความว่า ทุกความต้องการของเรา มันต้องถูกทำความเข้าใจด้วยเช่นกัน

คิดยังไงกับประโยคที่บอกว่า “ประสบการณ์มันสอนกันไม่ได้”

ถ้ายังเด็กแม่งมองไม่ออกหรอกเว้ย เพราะเรายังเห็นไม่ครบลูป ตอนเด็กเราก็โดนด่าอยู่เลย กูร้องไห้เลยมึงเอ้ย ร้องไห้กอดแม่เลย รุ่นก่อนที่เราเจอบางคนด่าเราเป็นหมา ให้เราทำงานจนไม่ได้กลับบ้านมาแปรงฟัน เราแบบโห ทำไมกูเจอขนาดนี้เลยวะ วันนั้นก็รู้สึกไม่เข้าใจเพราะเราคิดว่ามันไม่ควรทำ แต่ว่าเราก็อย่าเป็นอย่างนั้นแล้วกัน แล้วพอเจอสิ่งนั้นมา เราก็รู้สึกว่าทำยังไงให้เราโดนด่าอย่างนั้นน้อยลง แต่ว่ามันก็จะค่อยๆ น้อยลง มันน้อยลงอยู่แล้วเพราะว่ามันชำนาญขึ้น

ใช้คำว่าเก๋าขึ้นได้รึเปล่า

เรียกว่าไรดีล่ะ แค่มันไม่ใช่ครั้งแรก ครั้งแรกมันไม่รู้มึง แต่ถ้ามึงไม่รู้สามสี่ครั้ง กูว่าอันนี้เริ่มไม่ไหวละนะ

ถ้าย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว ย้อนกลับไปมองตัวเองตอนนั้น ตูนอยากบอกอะไรเขาไหม

“แป๊บหนึ่งนะ บอกไรดีวะ” ตูนกอดอกเงยหน้าคิด “บอกว่าตอนนั้น เล่นสดให้มันดีๆ หน่อย เพราะตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดาวดวงนั้นมันถูกมองเห็นมาก แต่ชุ่ยไง ชุ่ยกับการเล่นสดมาก เราชื่นชมศิลปินรุ่นใหม่ยุคนี้มากเลยนะ เด็กๆ ทุกคนเขาเนี้ยบ เคารพคนฟังที่ไปดูการเล่นสดมากเลย ในวันนั้นเราทำได้ไม่ดีเพราะไม่รู้วิธีด้วย แล้วเราก็ไม่ได้รู้จักเพื่อนศิลปิน ก็คือใช้ซาวนด์กลาง ไม่มี Sound Engineer เป็นของตัวเอง วันนั้นเราคือเด็กโง่ๆ คนหนึ่งที่เราก็คงเป็นตัวเหนื่อยหน่ายของ Promoter หลายๆ คนเช่นกัน ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย วันนั้นเราเลยทำเขาได้ไม่ดี ทั้งที่มันเป็นช่วงเวลาถูกสปอตไลต์สูงสุด เราแอบเสียดายเหมือนกัน”

จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ จุดไหนที่ตูนรู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้นมาบ้างแล้ว

เราก็ไม่รู้ว่าที่เรารู้มันคือน้ำเต็มแก้วรึเปล่า บางทีก็ต้องเช็กจากน้องๆ รุ่นใหม่ที่เขาโตมาอีกชุดความคิดหนึ่ง เราเห็นมุมเด็กๆ ว่าเขามีอันนี้ด้วยว่ะ แล้วทำไมเราไม่มีวะ ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นเรื่องของการอวดอ้างนะ แต่เฮ้ย! มันดูมีมาตรฐาน คือกูเป็นคนชอบมาตรฐาน! เราเห็นเลยว่าเด็กๆ เขาเคารพคนฟัง เขาเอาตายกว่าเราในบางเรื่องนะ เราแบบ โห เชี่ยกูเคารพว่ะ แม่งเคารพสิ่งที่ตัวเองทำอย่างนี้ เราก็เลยถามพวกน้องๆ ว่าเราต้องปรับยังไงวะ เตรียมตัวกันยังไง เราก็เป็นคนชอบให้มีมาตรฐาน แต่มาตรฐานเราเป็นมาตรฐานคนทำงานเอเจนซีมาทำกับวงไง แต่มาตรฐานของวงเราไม่ค่อยมีในฐานะพาร์ตดนตรี แต่ก็ใช้การถามเอา

ถ้าวันหนึ่งตูนไม่ได้เขียนเพลงแล้ว ยังอยากเล่าเรื่องตัวเองอยู่ไหม ในรูปแบบอะไร

เราไม่ได้อยากเล่าเรื่องตัวเองแล้วว่ะ แต่ชอบการชวนคุย เราแม่งเป็นคนที่ชอบเวลาที่ใครมาปรึกษา ไม่เคยหงุดหงิดเลยที่ใครแม่งโทรมาปรึกษา กลับรู้สึกว่า ไอเชี่ย! เราแม่งคงทำให้เขาวางใจเขาเลยโทรมาหาเราแบบนี้ เรารู้สึกชอบที่ตัวเองเป็นความวางใจให้ใครสักคนหนึ่งได้ ไม่ว่าจะออกมาเป็นรูปแบบไหนก็ได้หมด

คำถามสุดท้าย ถ้าวันหนึ่งมีคนพูดถึง STOONDIO ตูนอยากให้เขาพูดถึงว่าอะไร

“เฮ้ย! เดี๋ยวนี้เพลงตูนเขาไม่ง่วงแล้วนะ” ตูนแพ้เสียงในหัวตัวเอง ก่อนที่จะนิ่งคิดไปสักพัก

“แต่ว่า…ไม่รู้สิ”

“แค่นึกถึงกันก็พอค่ะ หรือถ้ามีใครที่กำลังรู้สึกท้อแท้ อยู่ไม่ไหวกับชีวิต แล้วเพลงของ Stoondio แวบเข้ามาในหัวแล้วช่วยพวกเขาได้บ้าง เราโคตรจะรู้สึกขอบคุณเขามากๆ เลยที่เขายังนึกถึงเรา แล้วเพลงของเรามีส่วนช่วยให้เขามีพลังการใช้ชีวิตต่อไปได้อีกครั้ง มันดีมากๆ เลย”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก a day magazine

พอร์ตโฟลิโอวาดมือของ ‘อองลี’ นิสิตสถาปัตย์ที่ผันตึกเป็นยานอวกาศ

7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘London Centre for Book Arts’ ศาสตร์ที่เลือนหาย แต่กำลังไวรัลในโซเชียลมีเดีย

1 วันที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

พอร์ตโฟลิโอวาดมือของ ‘อองลี’ นิสิตสถาปัตย์ที่ผันตึกเป็นยานอวกาศ

a day magazine

‘London Centre for Book Arts’ ศาสตร์ที่เลือนหาย แต่กำลังไวรัลในโซเชียลมีเดีย

a day magazine

ฉันสอนลูกให้โอบรับความมืดของตัวเอง ‘มอร์ทิเชีย แอดดัมส์’ มารดาแห่งตระกูลประหลาด

a day magazine
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...