‘London Centre for Book Arts’ ศาสตร์ที่เลือนหาย แต่กำลังไวรัลในโซเชียลมีเดีย
เมื่อสิ่งเก่ากำลังจางหายท่ามกลางสิ่งใหม่ที่ได้รับความนิยม
เราจะเลือกในสิ่งใด?
ความทันสมัยรวดเร็วทันใจ หรือการใช้เวลาบ่มตัวช้าๆ
เมื่อความเจริญรุดหน้าจนการรอคอยเป็นเรื่องยาก เรายังจะค่อยเป็นค่อยไปให้ลงตัวหรือไม่?
สภาพแวดล้อมกับการเจริญเติบโต
ในประเทศที่วัฒนธรรมการอ่านเจริญถึงขั้นสูงสุด และตรรกะในการใช้ชีวิตก่อร่างขึ้นมาจากแนวคิดที่ถ่ายทอดลงใน ‘หนังสือ’
การผลิตสิ่งที่เป็น ‘สื่อกลาง’ ถ่ายทอดวิทยาการความรู้สู่วงกว้างอย่าง ‘หนังสือ’ และ ‘สิ่งพิมพ์’ เองก็เปลี่ยนแปลงไปในแบบด้วยเหมือนกัน
จากที่เคยมีราคาแพง ต่อมาทุกคนซื้อหาได้
รูปเล่มเคยสัมผัสจับต้องได้ ตอนนี้เป็นคอนเทนต์ในหน้าจอโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์
หนังสือที่พิมพ์เป็น ‘เล่ม’ เลยมีจำนวนลดลง แล้วปริมาณของคอนเทนต์ออนไลน์ก็เพิ่มทวีคูณ
ท่ามกลางสถานการณ์ที่พฤติกรรมการอ่านและเรียนรู้ของมนุษย์เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ยังคงมีสถานที่หนึ่งซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อจัดพิมพ์และผลิตหนังสือให้กับสำนักพิมพ์ในอังกฤษและประเทศในยุโรปมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ
London Centre for Book Arts ตั้งอยู่ในย่าน Hackney ที่อดีตเป็นโกดังสินค้า แต่ได้รับการพัฒนาให้เป็นย่านสร้างสรรค์ เป็นสถานที่ตั้งของธุรกิจโดยผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลาง มีสวนสาธารณะ ร้านกาแฟ ร้านอาหารดาวมิชลิน สถานที่แฮงเอาต์ และพื้นที่จัดแสดงดนตรีแล้ว London Centre for Book Arts ก็เป็นส่วนหนึ่งของคอมมิวนิตีเปี่ยมพลังสร้างสรรค์
ที่มาของการพิมพ์หนังสือ
ในอดีตมนุษย์ถ่ายทอดวิชาความรู้ในด้านต่างๆ ผ่านการ ‘คัดลอก’ ตัวอักษร อย่างที่เห็นในคัมภีร์ และตำนานเก่าแก่ หรืองานเขียนของปราชญ์โบราณที่ส่งต่อมายังคนรุ่นต่อๆ มาด้วย ‘ลายมือเขียน’ ภายหลังถึงได้เริ่มพิมพ์ภาพวาดลงบนกระดาษด้วยบล็อกไม้
แล้วในปี ค.ศ. 1440 ได้มีการสร้าง ‘แท่นพิมพ์’ ขึ้นมาในเยอรมันนี ความสำเร็จในการประดิษฐ์คิดค้นแท่นพิมพ์ ‘Gutenberg’ ทำให้การเผยแพร่อารยธรรมของมนุษยชาติก้าวกระโดดขึ้นไปอีกขั้น การส่งต่อศาสตร์ต่างๆ ในรูปเล่มหนังสือมีความซับซ้อนน้อยลง และทำได้ง่ายดายขึ้นในราคาลดลงกว่าแต่ก่อน อุตสาหกรรมการพิมพ์ในยุโรปจึงได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในเวลาสั้นๆ
จากเดิมที่ต้องเขียนตัวอักษรลงไปทีละตัวบนหน้าหนังสือ กว่าจะครบ 1 เล่มใช้เวลายาวเป็นเดือนปี ก็สามารถพิมพ์ข้อความต่างๆ ลงบนหน้ากระดาษได้ครั้งละมากๆ
การพิมพ์หนังสือ 1 เล่มจึงใช้เวลาเพียงกะพริบตา
Anatomy องค์ประกอบของหนังสือ
แล้วหนังสือ 1 เล่มประกอบไปด้วยอะไร?
หากมองในเชิงกายภาพ หนังสือประกอบร่างขึ้นมาจากปกหน้า ปกหลัง สันที่คั่นตรงกลาง และเนื้อในที่พิมพ์ด้วยกระดาษ จากนั้นใช้ ‘กาว’ ติดหน้าหนังสือ หรือไม่ก็เย็บด้วย ‘เส้นด้าย’ เพื่อให้เป็นเล่ม
ถ้าคิดจากมุมมองทางคอนเทนต์ หนังสือทุกเล่มขาด ‘เนื้อหา’ จากนักเขียน หรือผู้จัดทำไม่ได้ ส่วนจะมีภาพถ่าย ภาพประกอบ หรือรายละเอียดอื่นมาเสริมเพิ่มหรือไม่ เป็นเรื่องต่อๆ มา
แต่ถ้าพิจารณาในแง่การส่งมอบประสบการณ์การอ่านให้กับผู้อ่านแล้ว การพิมพ์หนังสือในรูปแบบที่เหมาะสมก็สำคัญไม่แพ้อื่นใด จริงๆ แล้วเป็นปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ เพราะเป็นการสร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่าน อย่างการพิมพ์เนื้อหาลงบนกระดาษถนอมสายตา ช่วยเรื่องการเกร็งกล้ามเนื้อรอบดวงตาได้ ถ้าใช้กระดาษเนื้อละเอียดจะเปิดหน้าหนังสือได้ลื่นไหล และถ้าเข้าเล่มเหมาะกับลักษณะหนังสือก็จะเก็บหนังสือไว้ได้นาน ไม่ขาดออกจากกันก่อนเวลา
เริ่มผลิตด้วยเครื่องพิมพ์
แม้ว่าการพิมพ์จะแพร่หลายไปทั่วยุโรปจากเครื่องพิมพ์ Gutenberg แต่ ‘หนังสือ’ ที่พิมพ์ออกมายังคงมีรูปแบบดั้งเดิม คือเป็น ‘หนังสือปกแข็ง’
เนื่องจากในระยะแรกๆ สิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นหนังสือทางศาสนาและตำราเล่มหนาหลายร้อยหน้า หนังสือจึงต้องทนทานแข็งแรง เพื่อยึดหน้ากระดาษให้ไม่หลุด หรือขาดออกจากกัน ตอนนั้นจึงยังคงใช้หนังสัตว์ หรือกระดาษแข็งห่อผ้าเนื้อหนาเป็นปกและสันหนังสือ ราคาหนังสือจึงไม่ได้ลดลงมากนัก ทำให้ผู้ที่ซื้อหาหนังสือได้ยังมีเพียงไม่มากนัก
จนอีกหลายร้อยปีให้หลัง หนังสือปกอ่อนจึงได้แพร่หลายในอังกฤษ จากความพยายามของสำนักพิมพ์ Penguin Books ที่มุ่งมั่นให้ ‘ทุกคน’ เข้าถึงหนังสือได้
หรือว่าศาสตร์เก่าแก่จะเลือนหายไปจริงๆ?
หลังจากที่หนังสือพ็อกเกตบุ๊กและหนังสือปกอ่อนเป็นที่แพร่หลาย สิ่งพิมพ์ในรูปแบบ ‘ปกแข็ง’ ก็ได้รับความนิยมลดน้อยลงจนเห็นได้ชัด
การผลิตหนังสือแบบที่เคยเป็นมาเริ่มมีให้เห็นน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ต่างจากศาสตร์เก่าแก่อื่นๆ ที่จางหายไปจากความเจริญของสมัยใหม่
‘หนังสือปกแข็ง’ กลายเป็น ‘ของแพง’ สำหรับผู้อ่าน
แล้วหนึ่งเล่มมีต้นทุนในการผลิตสูงกว่าหนังสือปกอ่อนหลายเท่า ทำให้เป็นตัวเลือกอันดับท้ายๆ ของสำนักพิมพ์ จะตัดสินใจพิมพ์ก็ต่อเมื่อต้องการเติม ‘ความพิเศษ’ ให้กับสิ่งพิมพ์
หลังๆ จึงมีแต่สิ่งพิมพ์ด้านศิลปะ หนังสือรวบรวมผลงาน หรือคอลเลกชันสำคัญเท่านั้นที่เป็น ‘ปกแข็ง’ ประกอบกับระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตปกแข็งยังมากกว่าหลายเท่าจากความซับซ้อน และขั้นตอนที่เป็นงานแฮนด์เมด จำนวนผู้สนใจพิมพ์และผลิตจึงลดลงตามจนน่าตกใจ
แล้วช่างฝีมือผู้ชำนาญศาสตร์ในด้านนี้ก็อาจสูญหายไปในไม่ช้า!
การส่งต่อความรู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งที่เลือนหาย กลายเป็นจุดเด่นของแบรนด์
ความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสิ่งพิมพ์และรูปแบบการอ่านในปัจจุบัน ทำให้ London Centre for Book Arts มุ่งเน้นบทบาทในการส่งต่อ ‘ความรู้’ และ ‘ทักษะ’ ที่จำเป็นในการพิมพ์ ‘หนังสือปกแข็ง’ และการ ‘เข้าเล่ม’ ที่เป็นงานแฮนด์เมด จนเป็นที่ยอมรับในวงกว้างถึงความเชี่ยวชาญในศาสตร์การพิมพ์และผลิตหนังสือ
London Centre for Book Arts ถ่ายทอดวิธีการพิมพ์ หรือเย็บเล่มด้วยมือแบบต่างๆ ทั้งการพิมพ์แบบ Letterpress ที่มีจำนวนผู้ผลิตเหลือเพียงหยิบมือ (ในไทยมีโรงพิมพ์ชนิดนี้เปิดทำการอยู่ไม่ถึง 10 แห่ง) การพิมพ์แบบ Risograph ที่เป็นเทคนิคร่วมสมัย แต่ให้ความรู้สึกย้อนยุค การเย็บเล่มหนังสือปกแข็ง แบบญี่ปุ่น และแบบซับซ้อน แล้วยังมีเวิร์กชอปการทำกล่องจั่วปังที่นิยมใช้ใส่หนังสือปกแข็ง หรือของพิเศษในโอกาสสำคัญ หลายเทคนิคได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือ ‘Making Arts’ ที่ทางศูนย์จัดพิมพ์
กิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้มีทั้งง่ายไปจนถึงยาก สำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ มือใหม่ หรือว่าชำนาญแล้ว และยังเปิดกว้างให้นักเขียน ศิลปิน หรือนักสร้างสรรค์ที่ต้องการพิมพ์หนังสือด้วยตนเองเข้ามาใช้เครื่องพิมพ์และอุปกรณ์ต่างๆ ได้ในราคาที่จ่ายไหว เพื่อให้การผลิตหนังสือเป็นไปได้สำหรับทุกคน ไม่เท่านั้นยังรวบรวมสิ่งจำเป็นทั้งปวงที่ใช้ในการผลิตและพิมพ์หนังสือมาไว้ในที่เดียว ส่วนใหญ่เป็นของหายาก เช่น เส้นไหม 100% สำหรับการเย็บเล่มแบบญี่ปุ่น เส้นด้ายลินินฝรั่งเศสที่ทนทานนานปี กระดาษทำมือสำหรับงานเข้าเล่มแบบดั้งเดิม ไปจนถึงกาวเนื้อพิเศษ และแปรงสำหรับงานปกหนังสือและเข้าเล่มโดยเฉพาะ
London Centre for Book Arts จึงเป็นที่รู้จักในด้านการทำหนังสือ แม้จะมีช่องทางหลักที่ใช้ประชาสัมพันธ์เพียงแค่เว็บไซต์กับอินสตาแกรม แต่มีเสียงตอบรับท่วมท้น
ถือว่าการลงแรงของ London Centre for Book Arts สานต่อศาสตร์การทำหนังสือไม่ให้หายไปได้อย่างแท้จริง