โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

‘London Centre for Book Arts’ ศาสตร์ที่เลือนหาย แต่กำลังไวรัลในโซเชียลมีเดีย

a day magazine

อัพเดต 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • a day magazine

เมื่อสิ่งเก่ากำลังจางหายท่ามกลางสิ่งใหม่ที่ได้รับความนิยม

เราจะเลือกในสิ่งใด?

ความทันสมัยรวดเร็วทันใจ หรือการใช้เวลาบ่มตัวช้าๆ

เมื่อความเจริญรุดหน้าจนการรอคอยเป็นเรื่องยาก เรายังจะค่อยเป็นค่อยไปให้ลงตัวหรือไม่?

สภาพแวดล้อมกับการเจริญเติบโต

ในประเทศที่วัฒนธรรมการอ่านเจริญถึงขั้นสูงสุด และตรรกะในการใช้ชีวิตก่อร่างขึ้นมาจากแนวคิดที่ถ่ายทอดลงใน ‘หนังสือ’

การผลิตสิ่งที่เป็น ‘สื่อกลาง’ ถ่ายทอดวิทยาการความรู้สู่วงกว้างอย่าง ‘หนังสือ’ และ ‘สิ่งพิมพ์’ เองก็เปลี่ยนแปลงไปในแบบด้วยเหมือนกัน

จากที่เคยมีราคาแพง ต่อมาทุกคนซื้อหาได้

รูปเล่มเคยสัมผัสจับต้องได้ ตอนนี้เป็นคอนเทนต์ในหน้าจอโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์

หนังสือที่พิมพ์เป็น ‘เล่ม’ เลยมีจำนวนลดลง แล้วปริมาณของคอนเทนต์ออนไลน์ก็เพิ่มทวีคูณ

ท่ามกลางสถานการณ์ที่พฤติกรรมการอ่านและเรียนรู้ของมนุษย์เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ยังคงมีสถานที่หนึ่งซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อจัดพิมพ์และผลิตหนังสือให้กับสำนักพิมพ์ในอังกฤษและประเทศในยุโรปมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ

London Centre for Book Arts ตั้งอยู่ในย่าน Hackney ที่อดีตเป็นโกดังสินค้า แต่ได้รับการพัฒนาให้เป็นย่านสร้างสรรค์ เป็นสถานที่ตั้งของธุรกิจโดยผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลาง มีสวนสาธารณะ ร้านกาแฟ ร้านอาหารดาวมิชลิน สถานที่แฮงเอาต์ และพื้นที่จัดแสดงดนตรีแล้ว London Centre for Book Arts ก็เป็นส่วนหนึ่งของคอมมิวนิตีเปี่ยมพลังสร้างสรรค์

ที่มาของการพิมพ์หนังสือ

ในอดีตมนุษย์ถ่ายทอดวิชาความรู้ในด้านต่างๆ ผ่านการ ‘คัดลอก’ ตัวอักษร อย่างที่เห็นในคัมภีร์ และตำนานเก่าแก่ หรืองานเขียนของปราชญ์โบราณที่ส่งต่อมายังคนรุ่นต่อๆ มาด้วย ‘ลายมือเขียน’ ภายหลังถึงได้เริ่มพิมพ์ภาพวาดลงบนกระดาษด้วยบล็อกไม้

แล้วในปี ค.ศ. 1440 ได้มีการสร้าง ‘แท่นพิมพ์’ ขึ้นมาในเยอรมันนี ความสำเร็จในการประดิษฐ์คิดค้นแท่นพิมพ์ ‘Gutenberg’ ทำให้การเผยแพร่อารยธรรมของมนุษยชาติก้าวกระโดดขึ้นไปอีกขั้น การส่งต่อศาสตร์ต่างๆ ในรูปเล่มหนังสือมีความซับซ้อนน้อยลง และทำได้ง่ายดายขึ้นในราคาลดลงกว่าแต่ก่อน อุตสาหกรรมการพิมพ์ในยุโรปจึงได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในเวลาสั้นๆ

จากเดิมที่ต้องเขียนตัวอักษรลงไปทีละตัวบนหน้าหนังสือ กว่าจะครบ 1 เล่มใช้เวลายาวเป็นเดือนปี ก็สามารถพิมพ์ข้อความต่างๆ ลงบนหน้ากระดาษได้ครั้งละมากๆ

การพิมพ์หนังสือ 1 เล่มจึงใช้เวลาเพียงกะพริบตา

Anatomy องค์ประกอบของหนังสือ

แล้วหนังสือ 1 เล่มประกอบไปด้วยอะไร?

หากมองในเชิงกายภาพ หนังสือประกอบร่างขึ้นมาจากปกหน้า ปกหลัง สันที่คั่นตรงกลาง และเนื้อในที่พิมพ์ด้วยกระดาษ จากนั้นใช้ ‘กาว’ ติดหน้าหนังสือ หรือไม่ก็เย็บด้วย ‘เส้นด้าย’ เพื่อให้เป็นเล่ม

ถ้าคิดจากมุมมองทางคอนเทนต์ หนังสือทุกเล่มขาด ‘เนื้อหา’ จากนักเขียน หรือผู้จัดทำไม่ได้ ส่วนจะมีภาพถ่าย ภาพประกอบ หรือรายละเอียดอื่นมาเสริมเพิ่มหรือไม่ เป็นเรื่องต่อๆ มา

แต่ถ้าพิจารณาในแง่การส่งมอบประสบการณ์การอ่านให้กับผู้อ่านแล้ว การพิมพ์หนังสือในรูปแบบที่เหมาะสมก็สำคัญไม่แพ้อื่นใด จริงๆ แล้วเป็นปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ เพราะเป็นการสร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่าน อย่างการพิมพ์เนื้อหาลงบนกระดาษถนอมสายตา ช่วยเรื่องการเกร็งกล้ามเนื้อรอบดวงตาได้ ถ้าใช้กระดาษเนื้อละเอียดจะเปิดหน้าหนังสือได้ลื่นไหล และถ้าเข้าเล่มเหมาะกับลักษณะหนังสือก็จะเก็บหนังสือไว้ได้นาน ไม่ขาดออกจากกันก่อนเวลา

เริ่มผลิตด้วยเครื่องพิมพ์

แม้ว่าการพิมพ์จะแพร่หลายไปทั่วยุโรปจากเครื่องพิมพ์ Gutenberg แต่ ‘หนังสือ’ ที่พิมพ์ออกมายังคงมีรูปแบบดั้งเดิม คือเป็น ‘หนังสือปกแข็ง’

เนื่องจากในระยะแรกๆ สิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นหนังสือทางศาสนาและตำราเล่มหนาหลายร้อยหน้า หนังสือจึงต้องทนทานแข็งแรง เพื่อยึดหน้ากระดาษให้ไม่หลุด หรือขาดออกจากกัน ตอนนั้นจึงยังคงใช้หนังสัตว์ หรือกระดาษแข็งห่อผ้าเนื้อหนาเป็นปกและสันหนังสือ ราคาหนังสือจึงไม่ได้ลดลงมากนัก ทำให้ผู้ที่ซื้อหาหนังสือได้ยังมีเพียงไม่มากนัก

จนอีกหลายร้อยปีให้หลัง หนังสือปกอ่อนจึงได้แพร่หลายในอังกฤษ จากความพยายามของสำนักพิมพ์ Penguin Books ที่มุ่งมั่นให้ ‘ทุกคน’ เข้าถึงหนังสือได้

หรือว่าศาสตร์เก่าแก่จะเลือนหายไปจริงๆ?

หลังจากที่หนังสือพ็อกเกตบุ๊กและหนังสือปกอ่อนเป็นที่แพร่หลาย สิ่งพิมพ์ในรูปแบบ ‘ปกแข็ง’ ก็ได้รับความนิยมลดน้อยลงจนเห็นได้ชัด

การผลิตหนังสือแบบที่เคยเป็นมาเริ่มมีให้เห็นน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ต่างจากศาสตร์เก่าแก่อื่นๆ ที่จางหายไปจากความเจริญของสมัยใหม่

‘หนังสือปกแข็ง’ กลายเป็น ‘ของแพง’ สำหรับผู้อ่าน

แล้วหนึ่งเล่มมีต้นทุนในการผลิตสูงกว่าหนังสือปกอ่อนหลายเท่า ทำให้เป็นตัวเลือกอันดับท้ายๆ ของสำนักพิมพ์ จะตัดสินใจพิมพ์ก็ต่อเมื่อต้องการเติม ‘ความพิเศษ’ ให้กับสิ่งพิมพ์

หลังๆ จึงมีแต่สิ่งพิมพ์ด้านศิลปะ หนังสือรวบรวมผลงาน หรือคอลเลกชันสำคัญเท่านั้นที่เป็น ‘ปกแข็ง’ ประกอบกับระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตปกแข็งยังมากกว่าหลายเท่าจากความซับซ้อน และขั้นตอนที่เป็นงานแฮนด์เมด จำนวนผู้สนใจพิมพ์และผลิตจึงลดลงตามจนน่าตกใจ

แล้วช่างฝีมือผู้ชำนาญศาสตร์ในด้านนี้ก็อาจสูญหายไปในไม่ช้า!

การส่งต่อความรู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งที่เลือนหาย กลายเป็นจุดเด่นของแบรนด์

ความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสิ่งพิมพ์และรูปแบบการอ่านในปัจจุบัน ทำให้ London Centre for Book Arts มุ่งเน้นบทบาทในการส่งต่อ ‘ความรู้’ และ ‘ทักษะ’ ที่จำเป็นในการพิมพ์ ‘หนังสือปกแข็ง’ และการ ‘เข้าเล่ม’ ที่เป็นงานแฮนด์เมด จนเป็นที่ยอมรับในวงกว้างถึงความเชี่ยวชาญในศาสตร์การพิมพ์และผลิตหนังสือ

London Centre for Book Arts ถ่ายทอดวิธีการพิมพ์ หรือเย็บเล่มด้วยมือแบบต่างๆ ทั้งการพิมพ์แบบ Letterpress ที่มีจำนวนผู้ผลิตเหลือเพียงหยิบมือ (ในไทยมีโรงพิมพ์ชนิดนี้เปิดทำการอยู่ไม่ถึง 10 แห่ง) การพิมพ์แบบ Risograph ที่เป็นเทคนิคร่วมสมัย แต่ให้ความรู้สึกย้อนยุค การเย็บเล่มหนังสือปกแข็ง แบบญี่ปุ่น และแบบซับซ้อน แล้วยังมีเวิร์กชอปการทำกล่องจั่วปังที่นิยมใช้ใส่หนังสือปกแข็ง หรือของพิเศษในโอกาสสำคัญ หลายเทคนิคได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือ ‘Making Arts’ ที่ทางศูนย์จัดพิมพ์

กิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้มีทั้งง่ายไปจนถึงยาก สำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ มือใหม่ หรือว่าชำนาญแล้ว และยังเปิดกว้างให้นักเขียน ศิลปิน หรือนักสร้างสรรค์ที่ต้องการพิมพ์หนังสือด้วยตนเองเข้ามาใช้เครื่องพิมพ์และอุปกรณ์ต่างๆ ได้ในราคาที่จ่ายไหว เพื่อให้การผลิตหนังสือเป็นไปได้สำหรับทุกคน ไม่เท่านั้นยังรวบรวมสิ่งจำเป็นทั้งปวงที่ใช้ในการผลิตและพิมพ์หนังสือมาไว้ในที่เดียว ส่วนใหญ่เป็นของหายาก เช่น เส้นไหม 100% สำหรับการเย็บเล่มแบบญี่ปุ่น เส้นด้ายลินินฝรั่งเศสที่ทนทานนานปี กระดาษทำมือสำหรับงานเข้าเล่มแบบดั้งเดิม ไปจนถึงกาวเนื้อพิเศษ และแปรงสำหรับงานปกหนังสือและเข้าเล่มโดยเฉพาะ

London Centre for Book Arts จึงเป็นที่รู้จักในด้านการทำหนังสือ แม้จะมีช่องทางหลักที่ใช้ประชาสัมพันธ์เพียงแค่เว็บไซต์กับอินสตาแกรม แต่มีเสียงตอบรับท่วมท้น

ถือว่าการลงแรงของ London Centre for Book Arts สานต่อศาสตร์การทำหนังสือไม่ให้หายไปได้อย่างแท้จริง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก a day magazine

พีชนี้ที่รอคอย! CHAGEE เสิร์ฟเมนูใหม่ล่าสุด Peach Oolong Milk Tea ให้ชาวไทยได้ฟินกับความหอม สดชื่น หวานฉ่ำจากวัตถุดิบคุณภาพ

1 วันที่แล้ว

ฉันสอนลูกให้โอบรับความมืดของตัวเอง ‘มอร์ทิเชีย แอดดัมส์’ มารดาแห่งตระกูลประหลาด

1 วันที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

จัดเต็มจุใจกับคอนเสิร์ตแห่งปีของ LYKN! 'LYKN DUSK & DAWN CONCERT' ชวน LYKYOU มาระเบิดความมันส์ 18-19 ตุลาคม ณ อิมแพ็ค อารีน่า กดบัตร 30 สิงหาคมนี้

Tero Radio

เลือก "กระเป๋าทำงาน" แบบไหน ใช้แล้วไม่ "ปวดหลัง"

sanook.com

‘ไดกิ้น-พานาโซนิค’ ส่งแอร์กลางแจ้ง รับมือญี่ปุ่นร้อนทะลุเดือด

ประชาชาติธุรกิจ

สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จแทนพระองค์ไปในการพระราชทาน ปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๗

Hello Magazine Thailand

ไม่ใช่ของต่ำ! เจาะภารกิจ "ผ้าอนามัย" ไอเทมคู่กายชายชาติทหารในสนามรบ

Amarin TV

MIND: ผลสำรวจชี้ ที่เด็กติดมือถือ ส่วนหนึ่งก็เพราะ พ่อแม่มีความวิตกกังวลเกินไป จนไม่ปล่อยให้ลูกได้เล่น ‘แบบอิสระ’

BrandThink

ไขข้อสงสัย "ต่อมลูกหมากโต" ไม่ใช่ "มะเร็งต่อมลูกหมาก" จริงหรือไม่

Thai PBS

ฮือฮาโลกออนไลน์! สปีช “วีนา ปวีนา” ชูเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ในเวที Queen Of Phuket 2025

สยามรัฐ

ข่าวและบทความยอดนิยม

ฉันสอนลูกให้โอบรับความมืดของตัวเอง ‘มอร์ทิเชีย แอดดัมส์’ มารดาแห่งตระกูลประหลาด

a day magazine

12 สิงหาคม เปลี่ยนจากส่ง “สวัสดีวันจันทร์” เป็นเพลงรักสักเพลงไหมแม่ 

a day magazine

รู้จัก Amy Sherald ศิลปินผู้ปฏิวัติวงการศิลปะ กับการนำเสนอเรื่องราวของคนดำผ่านภาพพอร์เทรต

a day magazine
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...