MIND: ผลสำรวจชี้ ที่เด็กติดมือถือ ส่วนหนึ่งก็เพราะ พ่อแม่มีความวิตกกังวลเกินไป จนไม่ปล่อยให้ลูกได้เล่น ‘แบบอิสระ’
ปัญหาเด็กติดหน้าจอเป็นปัญหาคลาสสิกของยุคปัจจุบันที่เราคงต้องคุยกันอีกนานแสนนาน เพราะข้อถกเถียงมันยุ่บยั่บรุงรังไปหมด งานวิจัยให้ภาพไปในทางเดียวกันก็จริง แต่รายละเอียดมีหลากหลาย และพ่อแม่ก็เอางานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พวกนี้ไปเสริมความเชื่อตัวเองราวกับเป็นคำสอนของลัทธิความเชื่อมากกว่าจะเป็นข้อค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์
ในโลกที่ถกเถียงกันอีนุงตุงนังของผู้ใหญ่นี้ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เราฟัง ‘เด็ก’ น้อยมาก และจริงๆ ถ้าลองฟังเพิ่มขึ้น เราอาจมองปัญหาต่างออกไป ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่เหล่านักวิจัยรุ่นใหญ่ที่ออกมาพูดถึง ‘ปัญหาเด็กติดหน้าจอ’ ร่วมกันทำการสำรวจเด็กอเมริกันกว่า 500 คน โดยตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรให้พวกเขาไม่ติดหน้าจอ
คำตอบที่ได้มันเรียบง่ายกว่าที่คิด พวกเด็กๆ ‘อยากเล่นกับเด็กด้วยกัน โดยพ่อแม่ไม่มาคุม’
นี่อาจทำให้หลายคนช็อกเลยทีเดียว เพราะชาติที่เป็นต้นตอในการพูดถึง ‘ปัญหาเด็กติดมือถือ’ คือสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นบางทีก็เอาปัญหานี้มาพูด โดยไม่ได้ดูบริบทของตนเอง
คือในอเมริกา ปัจจุบันพ่อแม่จะค่อนข้างวิตกกังวลสวัสดิภาพของลูกกันมาก มักจะไม่ปล่อยลูกไปไหนมาไหนตามลำพังก่อนวัยรุ่น โดยผลสำรวจทำให้เห็นว่าเด็กอเมริกัน 8-9 ขวบ เกินครึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปซื้อของที่ร้านขายของแถวบ้านเอง และเกิน 1 ใน 4 พ่อแม่ไม่อนุญาตให้เล่นกับเด็กวัยเดียวกันโดยไม่มีพ่อแม่นั่งคุมอย่างใกล้ชิด
ผลโดยรวมคือเด็กไม่มีอิสระ ก็เลยไปหาความเป็นอิสระกับ ‘เพื่อนออนไลน์’ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พ่อแม่ควบคุมได้น้อยกว่า
นี่ทำให้ภาพของ ‘เด็กติดมือถือ’ พลิกไปเลย มันไม่มี ‘เด็กที่ไม่อยากออกไปเล่นนอกบ้าน’ เท่ากับมันมีแต่เด็กที่ ‘อยากจะเล่นกับเพื่อนอย่างอิสระไม่ว่าจะที่ไหน’ และที่จริงคือเด็กๆ ‘อยากหนี’ การควบคุมของพ่อแม่ไปยังโลกออนไลน์เท่านั้นเอง
ก่อนที่เราจะคุยว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เราอาจต้องคุยกันก่อนว่าทำไมมันถึงเป็นปัญหา ในบริบทอเมริกัน
ทั้งนี้สังคมอเมริกันเป็นสังคมที่เต็มไปด้วย ‘ความรู้สึกไม่ปลอดภัย’ ไม่ใช่แค่ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวเหตุกราดยิงกันหมด แต่หลายพื้นที่มีอาชญากรรมลักขโมย และคนในสังคมก็มักจะรู้สึกว่ามีพวกใคร่เด็กเดินเพ่นพ่านอยู่ด้วย
ผลโดยรวมทำให้การเป็นพ่อแม่สมัยนี้ต้องใช้เทคโนโลยีและเทคนิคสารพัดสอดส่องลูก ในระดับที่มากกว่ายุคก่อนแน่ๆ
และพอลูกต้องเติบโตมาภายใต้ความวิตกกังวลของพ่อแม่ ผลก็คือหนีไปเล่นมือถือ กลายมาเป็น ‘คนรุ่นวิตกกังวล’ จากการโตมากับชีวิตออนไลน์และการใช้โซเชียลมีเดียที่ล้นเกิน ดังที่โจนาธาน ไฮด์ บรรยายไว้อย่างโด่งดังในหนังสือ ‘The Anxious Generation’
แล้วก็บังเอิญจริงๆ ที่โจนาธาน ไฮด์เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในโครงการสำรวจว่าเด็กรุ่นใหม่อยากทำอะไร ถ้าไม่ใช่เล่นมือถือ
ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร?
สั้นๆ เลยคือเราต้องคิดใหม่ทั้งหมดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับมือถือ และเราอาจต้องตระหนักว่าเรากำลังรับรู้ ‘ปัญหา’ ของเด็กอเมริกันมากไปหรือเปล่า
เราต้องตั้งคำถามว่า ทำไมฝั่งที่พูดถึงปัญหาของเด็กกับมือถือกันมากๆ คืออเมริกา ทำไมเด็กยุโรปไม่มีปัญหานี้? แล้วเด็กพวกญี่ปุ่น หรือกระทั่งจีน มีปัญหาแบบนี้หรือไม่?
ถ้าไม่ เรื่องพวกนี้ก็เป็นปัญหาที่มี ‘ความอเมริกัน’ มากๆ เราอาจต้องคิดดีๆ กับมัน ก่อนจะเริ่มเป็น ‘พ่อแม่วิตกกังวล’ ที่เลี้ยงลูกให้กลายเป็นเด็กที่โตมาแบบวิตกกังวลเช่นกัน
เพราะบางที แค่เราอยู่ในสังคมที่ผู้คนรู้สึกปลอดภัยพอที่จะปล่อยเด็กๆ ออกมาเล่นนอกบ้าน และผังเมืองที่มีสนามเด็กเล่นอยู่ใกล้บ้านมากพอ ปัญหา ‘เด็กติดมือถือ’ อาจน้อยลงก็ได้ และถ้าเป็นแบบนั้นเราก็จะเห็นเลยว่าปัญหาเด็กติดมือถือมันคือปัญหาเรื่องการขาดพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยให้เด็กๆ ได้เล่น มากกว่าจะเป็นเรื่องอื่น