POP: จากดราม่าโปสเตอร์ดาบพิฆาตอสูร สู่ตำนานช่างหมุกหยง ว่าด้วยเรื่องศิลปะคัตเอาต์หนัง ที่กำลังสูญหายไปพร้อมกับ Stand-Alone Cinema
โปสเตอร์ ‘ดาบพิฆาตอสูร’ วาดโดยศิลปินไทย ถูกแอคใหญ่ต่างประเทศวิจารณ์เสียหาย?
จากโพสต์ของแอคเคาต์ดังอย่าง ‘Demon Slayer Daily’ บนแพลตฟอร์ม X เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา เจ้าของแอคเคาต์ได้ออกมาโพสต์ว่า “New demon slayer movie poster in Thailand 😭” พร้อมกับแปะรูปภาพโปสเตอร์ที่วาดด้วยมือฝีมือคนไทย จากแอนิเมชันเรื่อง ‘ดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต’ (Demon Slayer: Infinity Castle Part 1)
ล่าสุด ได้มีการแสดงความคิดเห็นจากแฟนคลับต่างประเทศและแฟนคลับชาวไทยมากมาย ซึ่งเสียงแตกออกเป็นสองฝั่งอย่างเห็นได้ชัด โดยฝั่งมุมมองของบุคคลที่ชื่นชอบ ได้แสดงความคิดเห็นในเชิงว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่งานวาดมือถูกลดทอนคุณค่าศิลปะ เราผู้บริโภคควรที่จะชื่นชมฝีมือผู้วาดและความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลัง มากกว่าที่จะให้คุณค่ากับผลงานAI เพราะเราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า ผลงานบิลบอร์ดขนาดยักษ์ที่เราเห็นเหล่านั้น มันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์และความทุ่มเทของผู้วาดมากแค่ไหน
ส่วนในมุมมองของบุคคลที่รู้สึกไม่ประทับใจ ได้แสดงความคิดเห็นในเชิงว่า งานศิลปะภาพนี้ดูตลกและไม่เหมือนกับแอนิเมชันต้นฉบับเอาเสียเลย ยกตัวอย่าง คอมเมนต์บนแพลตฟอร์ม X มีเจ้าของบัญชีรายหนึ่งได้ออกมาโพสต์ล้อเลียนถึงรูปร่างหน้าตาของตัวละคร ‘โคโจ ชิโนบุ’ (Kocho Shinobu) บนป้ายคัตเอาต์ว่า มันดูแตกต่างจากต้นฉบับจนออกแนวตลก
โดยผู้อยู่เบื้องหลังของวาดภาพอันแสนงดงามดังกล่าว คือ ‘ช่างหมุกหยง-เจริญกิตติพงศ์’ ศิลปินเขียนคัตเอาต์หนังวัยเกือบ 80 ปี จากจังหวัดยะลา ปัจจุบันยังคงทำงานวาดโปสเตอร์หนังมืออยู่ที่ห้างโคลีเซียม เขาจึงเป็นเหมือนหนึ่งในช่างเขียนรุ่นบุกเบิกของภาคใต้ และถือเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจของวงการนักวาดเลยทีเดียว
ช่างหมุกหยงเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว ‘ผู้จัดการออนไลน์’ (MGR ONLINE) ว่า เส้นทางอาชีพของเขาเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2506 ที่หาดใหญ่ ผ่านการทำงานกับหลายโรงหนังทั้งภาคใต้ ภาคอีสาน และท้ายที่สุดก็ต้องกลับมาทำงานที่จังหวัดยะลา
โดยยุคเฟื่องฟูของอาชีพช่างเขียน ช่างหมุกหยงกล่าวเพิ่มเติมว่า มันรุ่งเรืองมากในยุคที่โรงหนังสแตนด์อโลนยังคงอยู่ แต่พอปัจจุบันโรงหนังเริ่มก้าวเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าและหันมาใช้ป้ายไวนิลกันแทน จึงทำให้ขนาดพื้นที่ของคัตเอาต์ลดลงเป็นอย่างมาก จาก 30-40 แผ่น ก็เหลือเพียงแค่ 6-8 แผ่น หรือแม้กระทั่งพื้นที่ของช่างเขียนก็เริ่มลดลงเช่นกัน
ทั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ว่า คัตเอาต์กับโรงหนังสแตนด์อโลนนั้นถือเป็นความผูกพันที่อยู่เคียงข้างกัน ไม่ต่างกับโรงภาพยนตร์ที่ต้องขายป๊อปคอร์นคู่กับน้ำอัดลมอยู่เสมอ
คำถามคือ ในยุคสมัยที่โรงหนังสแตนด์อโลนในประเทศไทยเริ่มหายไป ภาพวาดคัตเอาต์จะอยู่อย่างไร
ยกตัวอย่าง ‘โรงหนังสกาลา’ อันโด่งดัง ที่ปิดตัวไปเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2563 ด้วยสาเหตุที่ยอดผู้เข้าชมลดลง รวมถึงปัจจัยในเชิงธุรกิจอย่างต้นทุนบำรุงรักษาและที่ดินที่มูลค่าสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ
แต่ถ้าหากพูดถึงในองค์รวมของอุตสาหกรรมบันเทิงในประเทศไทย ที่ไม่ใช่เพียงแค่โรงหนังสแตนด์อโลนเท่านั้น ‘Micro Cimema’ หรือโรงหนังขนาดเล็ก ก็ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อวงการนี้ไม่น้อยเช่นกัน เพราะล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ‘Doc Club & Pub.’ ได้ออกมาประกาศในเพจเฟซบุ๊กของตนว่าจะหยุดให้บริการในส่วนของพื้นที่ฉายภาพยนตร์ เนื่องด้วยกฎกระทรวงและ พ.ร.บ.ภาพยนตร์ ในปัจจุบันยังใช้หลักเกณฑ์ของตัวอาคารและโรงมหรสพเป็นบรรทัดฐานเดียวกันอยู่ทั้งหมด…ซึ่งต่างประเทศไม่ใช่แบบนั้น
และถ้าหากถามซ้ำอีกครั้งว่า แล้วทำไมโรงภาพยนตร์เครือใหญ่ถึงไม่สามารถสนับสนุนงานคัตเอาต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเราได้ แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะ ‘เงิน’ ล้วนๆ เนื่องจากการวาดคัตเอาต์ขนาดใหญ่ใช้ต้นทุนที่สูง อายุการใช้งานสั้น และสำหรับโรงภาพยนตร์ที่ไม่จำเป็นต้อง ‘ดึงลูกค้าหน้าโรงหนัง’ ด้วยคัตเอาต์เหมือนกับโรงภาพยนตร์แบบสแตนด์อโลนสมัยก่อน ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จึงไม่สร้างผลกำไรแต่อย่างใด
และถึงแม้โรงหนังนอกกระแสอย่าง ‘House Samyan’ จะยังคงอยู่ และมี ‘แนวคิด’ ที่คล้ายคลึงกับคำว่า ‘Micro Cinema’ และ ‘Stand-Alone Cinema’ มากแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ยังติดปัญหาเรื่อง ‘พื้นที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการติดตั้ง’ อยู่ดี เหตุเพราะสแตนด์อโลนสมัยก่อนจะมีทั้งผนังหรือโครงเหล็กขนาดใหญ่ เพื่อใช้ในการแสดงผลงานภาพวาด แต่ทว่าพื้นที่ในห้างหรือในอาคารรวมที่ทาง House Samyan ตั้งอยู่นั้น พื้นที่โฆษณาค่อนข้างเล็กและอยู่ในข้อกำหนดของอาคาร จึงไม่สามารถติดตั้งคัตเอาต์ขนาดใหญ่ได้
ส่วนอีกสถานที่หนึ่งที่ชาวซีเนไฟล์หรือคนรักหนังอาจเดินไปทางเยี่ยมเยียนกันบ่อยอย่าง ‘หอภาพยนตร์’ ที่ถึงแม้จะมีพื้นที่เป็นของตัวเองและเป็นเอกเทศ คล้ายกับสแตนด์อโลนในเชิงโครงสร้าง แต่แท้จริงหอภาพยนตร์ก็เป็นเพียงโรงหนังในสถาบัน (Nation Film Archieve) ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ในการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์และฉายภาพยนตร์เพียงเท่านั้น มิได้มีจุดประสงค์ในเชิงพาณิชย์เหมือนเช่นโรงภาพยนตร์แห่งอื่นๆ
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เพื่อนๆ อาจนึกภาพออกประมาณหนึ่งแล้วว่า เหตุใด ‘โรงหนังสแตนด์อโลน’ ถึงมีความสำคัญยิ่งต่อวงการ ‘ช่างเขียนคัตเอาต์’ เพราะเมื่อโรงหนังสแตนด์อโลนเริ่มทยอยปิดตัว ศิลปินเขียนคัตเอาต์ก็ไร้งาน
สิ่งเดียวที่อาจช่วยให้วงการนี้สามารถไปต่อได้ ก็คือการช่วยกัน ‘อนุรักษ์’ ไม่ให้ศิลปินฝีมือดีอย่างพวกเขาสูญหายไป รวมถึงร่วมส่งกำลังใจ คอยชื่นชมและสนับสนุนในผลงานและการสร้างสรรค์ของศิลปิน