ข้าวไทยไม่สดใส “ภาษีสหรัฐ–ข้าวอินเดีย” กระหน่ำ ราคาดิ่ง
จากการนำเข้าข้าวทุกชนิดโดยรวมของสหรัฐจากประเทศไทยประมาณ 8 แสนตันต่อปี ซึ่งผลผลิตข้าวหอมมะลิไทยปีการผลิต 2568/69 จะออกมาในช่วงปลายปีนี้ อนาคตจะเป็นอย่างไร ภายใต้การปรับขึ้นภาษีของสหรัฐ
“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “นายศุภชัย วรอภิญญาภรณ์” ประธานกรรมการ บริษัท ธนสรรไรซ์ จำกัด ผู้ส่งออกข้าวท็อปโฟร์ของประเทศ ถึงแนวโน้มการส่งออกข้าวไทยไปสหรัฐ และแนวโน้มราคาข้าวในประเทศ เพื่อส่งสัญญาณเตือนให้รัฐบาลรับมือได้อย่างทันท่วงที
“ข้าวหอมมะลิ” ฤดูใหม่คาดลดลง
นายศุภชัย กล่าวว่า จากการที่สหรัฐฯ ประกาศภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยที่ 19% ซึ่งตํ่ากว่าเวียดนาม 1% (เวียดนามเสีย 20%) มองว่าเป็นผลดีกับการส่งออกข้าวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวหอมมะลิ ที่จะแข่งขันกับข้าวหอม ST25 ของเวียดนามได้ดีขึ้น แต่ต้องใช้เวลาเล็กน้อยในการปรับฐานราคาข้าวด้วย รวมถึงผู้บริโภคสหรัฐเองก็จะต้องปรับตัวกับราคาข้าวที่จะปรับขึ้นตามต้นทุนภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ คาดการณ์ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเกี่ยวสดในฤดูการผลิต 2568/69 ราคาจะปรับตัวลงมาอยู่ที่ 9,000-10,000 บาทต่อตัน จากปีที่แล้วเฉลี่ยที่ 12,000-13,000 บาทต่อตัน
ขณะที่อีกหนึ่งตลาดใหญ่คือ “อิหร่าน” เป็นตลาดใหญ่ที่มีความต้องการข้าวหอมมะลิและข้าวขาวสูงมาก แต่ติดปัญหาการเข้าถึงเงินดอลลาร์สหรัฐ (อิหร่านเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐควํ่าบาตรทางเศรษฐกิจ รวมถึงการกีดกันไม่ให้เข้าถึงเงินดอลลาร์สหรัฐ) ส่งผลทำให้ภาคธุรกิจของอิหร่านไม่สามารถเข้าถึงการทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างราบรื่น และมีความยุ่งยากมาก แม้กระทั่งธนาคารไทยเองก็ยังไม่สามารถรับดำเนินธุรกรรมทางการเงิน เพราะมีความเสี่ยงสูง ซึ่งทั้งสองฝ่ายเคยเจรจาซื้อขายข้าวกันแล้วในสมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน แต่สุดท้ายต้องล้มเลิกไป ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
ตลาดข้าวขาว “โคม่า”
ขณะที่นับตั้งแต่อินเดียผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก ได้กลับมาส่งออกข้าวในกลุ่มข้าวขาวอีกครั้งในปลายปีที่ผ่านมา ในราคาที่ถูกกว่าข้าวไทยและเวียดนาม ทำให้ทั้งสองประเทศต้องขายข้าวในราคาต่ำลงเช่นกันเพื่อการแข่งขัน ส่งผลทำให้ราคาข้าวในประเทศของไทยไม่หวนกลับไปราคาดีเหมือน 2 ปีที่แล้วได้อีก โดยราคาข้าวเปลือกเจ้าเกี่ยวสด ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 5,600-6,200 บาทต่อตัน ถือเป็นราคาที่ตํ่ามากในรอบ 17 ปี ซึ่งรู้สึกสงสารชาวนา ส่วนบริษัทซึ่งเป็นผู้ค้าข้าวและเป็นคนกลาง ซื้อมาขายไป และส่งออกข้าวไทยไปขายในตลาดโลก ก็ต้องเป็นไปตามราคาตลาด หากราคาตลาดโลกปรับลดลงก็ต้องปรับลงตามเพื่อการแข่งขัน เพราะไทยไม่ใช่ผู้ส่งออกรายเดียวในตลาดโลก
“ไม่ใช่ว่าเราจะไปซื้อราคาสูง สวนราคาตลาดโล ก แล้วจะไปขายให้ใคร ก็หวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการออกมาช่วยชาวนา อย่างน้อยก็หวังว่าข้าวเปลือกเจ้าเกี่ยวสดจะได้ที่ 8,000 บาทต่อตัน ซึ่งจะทำให้เกษตรกรอยู่ได้ แต่ราคาตํ่ากว่านี้เกษตรกรลำบาก เข้าใจเลยเพราะบริษัทอยู่ใกล้ชิดเกษตรกร”
นายศุภชัย ยังกล่าวถึงตลาดข้าวไทยในประเทศอิรักว่า ยังมีการซื้อต่อเนื่อง นับตั้งแต่บริษัทสามารถไปเปิดตลาดได้ใหม่ในปี 2564 หลังจากนั้นก็ซื้อมาตลอด แต่ก็ไม่ได้มีปริมาณมากพอที่จะมีแรงส่งทำให้ตลาดข้าวขาวโดยรวมราคาขยับได้ ขณะนี้เริ่มมีปัญหาติดขัดทางการเงินระหว่างเทรดเดอร์กับผู้ค้าในประเทศ กล่าวคือทางอิรักเวลาจ่ายเงิน ต้องแปลงเป็นดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรนัก ส่งผลให้การจ่ายเงินค่อนข้างล่าช้า
ครึ่งหลัง–ปีหน้า ไร้ปัจจัยบวก
สำหรับสถานการณ์ส่งออกข้าวไทยในครึ่งหลังปี 2568 และแนวโน้มปี 2569 ยังไร้ปัจจัยบวก เนื่องจากตลาดโลกมีความต้องการเท่าเดิม อีกด้านหนึ่งในฤดูข้าวนาปี ทางสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดว่า ไทยจะมีผลผลิตข้าว 27.22 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากไทยมีปริมาณนํ้าฝนใกล้เคียงกับค่าปกติ เกษตรกรส่วนใหญ่มีนํ้าเพียงพอต่อการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของต้นข้าว ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรโดยเร่งด่วน ถ้าปล่อยไปอย่างนี้ในอนาคตเกษตรกรจะปลูกต่อกันไม่ไหว เพราะราคาตกตํ่ามาก
“ข้าวเปลือกเจ้าเกี่ยวสดในปัจจุบันเฉลี่ย 5,600-6,200 บาทต่อตัน ต่ำสุดในรอบ 17 ปี เมื่อย้อนกลับไปในปี 2551 ขณะนั้นราคาปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 กระสอบละ 50 กิโลกรัม อยู่ที่ 300-400 บาท น้ำมันดีเซลลิตรละ 14-15 บาท และค่าจ้างขั้นต่ำ 148-203 บาทต่อวัน แต่ปัจจุบันราคาปัจจัยการผลิตปรับขึ้นทุกตัว ต่อไปหากในอนาคตเกษตรกรเลิกปลูกข้าว ก็จะกระทบโรงสี และส่งออก ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง” นายศุภชัย กล่าว
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,121 วันที่ 10 - 13 สิงหาคม พ.ศ. 2568