แม่เผาอำพรางศพลูกให้การ ยันไม่ได้ฆ่า ตร.เผยเครียดหนัก ฉีกปลอกหมอนเตรียมทำร้ายตัวเอง โชคดีระงับเหตุได้
แม่เผาอำพรางศพลูกให้การ ยันไม่ได้ฆ่า ตร.เผยเครียดหนัก ฉีกปลอกหมอนเตรียมทำร้ายตัวเอง โชคดีระงับเหตุได้ทัน
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 21 สิงหาคม พ.ต.ท.เรืองยศ ภูแช่มโชติ รอง ผกก.สส.สภ.บ้านฝาง พ.ต.ท.เทียนชัย ชาวส้าน รอง ผกก.สอบสวน สภ.บ้านฝาง พ.ต.ท.อรชุน โพธิ์เหลือง สว.สส.สภ.บ้านฝาง ร.ต.อ.สมศักดิ์ แก้วดอนหัน สว.สส.สภ.บ้านฝาง พร้อมทีมสืบสวนชุด “ฝางพยัคฆ์” ร่วมกันควบคุมตัว น.ส.ปนัดดา หรือ แพร อายุ 33 ปี ชาว อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่บริเวณเตาเผาถ่านกลางไร่อ้อยของชาวบ้านบ้านหินฮาว หมู่4 ต.โนนฆ้อง อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นจุดที่ น.ส.ปนัดดา และ นายพงศธร หรือ เปิ้ล อายุ 30 ปี อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น สามี ได้ร่วมกันนำร่างของทารกวัยแรกคลอด ซึ่งเป็นลูกของตนเอง มาเผาอำพราง ในช่วงบ่ายของวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะนำตัวไปทำแผน จุดที่ 2 ที่บ้านของ น.ส.จารุวรรณ เจ้าของเตาเผาถ่านและเพื่อนรุ่นพี่ของ น.ส.ปนัดดา ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ต้องหาเดินทางมาพบ หลังจากลงมือเผาอำพรางทารกเสร็จ ก่อนจะควบคุมตัวมาทำแผนในจุดสุดท้ายที่ห้องเช่าของอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งในเมืองขอนแก่น ซึ่งเป็นจุดที่ น.ส.ปนัดดา คลอดทารกออกมา ก่อนจะร่วมกันกับสามีนำร่างของทารกออกจากห้องเช่า แล้วขับขี่รถจักรยานยนต์ นำไปเผายังเตาเผาถ่าน ที่ อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น
น.ส.ปนัดดา ผู้ต้องหา เล่าทั้งน้ำตาว่า ตนเองและสามีอยู่กินกันมาประมาณ 3 ปี ก่อนที่จะตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 กับนายพงศธร โดยก่อนวันเกิดเหตุ ตนเองเริ่มปวดท้องเป็นระยะมาได้ประมาณ 3-4 วัน อาการเหมือนจะคลอดลูก จนกระทั่งวันที่ 15 ส.ค. ตนเองอยู่ห้องคนเดียว ส่วนสามีออกไปทำงาน จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันดังกล่าว ตนเองเริ่มปวดท้องอีกครั้ง จึงประคองตัวเองนั่งพิงหัวเตียงและชันเข่า 2 ข้างขึ้น และพลิกตัวไปมา ก่อนที่จะนอนหงายลงบนเตียงนอนเนื่องจากรู้ว่าลูกกำลังจะคลอดออกมา ตนเองพยายามใช้มือล้วงช่วยดึงลูกออกมาจากช่องคลอดให้ได้มากที่สุด แต่ลูกยังไม่ทันพ้นออกมาจากช่องคลอด ตนเองก็หมดแรงไป เมื่อได้สติกลับมาก็ได้พยายามดึงลูกออกมาเป็นครั้งที่สอง แต่ลูกก็ออกมาได้เพียงครึ่งตัว ตนเองก็หน้ามืดไปอีกครั้ง พอได้สติจึงพยายามดึงลูกออกมาเป็นครั้งที่สามจึงออกมาได้สำเร็จ เมื่อลูกคลอดออกมาแล้วจึงอุ้มลูกวางไว้ที่ปลายเตียงนอน ซึ่งครั้งนี้ตนเองได้ยินเสียงลูกร้องแอ้… หนึ่งครั้ง พอตั้งตัวได้ตนเองจึงก้าวขาลงจากเตียงนอนในสภาพเปื้อนเลือดและสารคัดหลั่งจากการคลอด โดยได้นำเอาผ้าขนหนูมาปิดที่หน้าของลูกไว้ แต่จังหวะนั้นตนเองเกิดหน้ามืดจึงฟุบศีรษะลงไปทับลูก
จำไม่ได้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาตนเองจึงลุกขึ้นยืน แต่ก็เป็นลมล้มฟุบลงไปที่พื้นห้อง จนกระทั่งสามีกลับเข้ามาที่ห้องแล้วในเวลาประมาณ 18.00 น. แล้วเคาะประตูเรียกให้เปิดประตูห้อง ตนเองจึงคลานไปตามพื้นห้องเพื่อเปิดประตูให้สามี ก่อนที่จะสลบลงไปที่หน้าประตูเมื่อสามีเข้ามาในห้อง สามีได้เป็นคนทำความสะอาดห้อง และใช้ผ้าห่อลูกไว้ พร้อมกับนำผ้าที่เปื้อนเลือดไปซักหลังห้อง และเป็นคนเคลียร์ห้องทั้งหมด เนื่องจากตนเองไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เมื่อถามว่า ได้เอาผ้าปิดทับหน้าลูกเพื่อตั้งใจให้ตายหรือไม่ น.ส.ปนัดดา บอกว่า ตนเองเพียงเอาผ้าปิดเพื่อห่อหุ้มตัวลูกไว้เท่านั้น และ หลังจากคลอดออกมาก็ไม่ได้นำลูกมาเข้าเต้าเพื่อดูดนมแม้แต่ครั้งเดียว ตนเองไม่ทราบว่าช่วงที่สามีกลับมาห้อง ลูกยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะสามีเป็นคนจัดการและเห็นว่าร่างกายลูกมีลักษณะเขียวคล้ำไปแล้ว
น.ส.ปนัดดา เล่าต่อว่า หลังจากที่ตนเองและสามีเห็นว่าลูกเสียชีวิตแล้ว โดยดูจากสภาพของลูกที่เขียวคล้ำ ตอนนั้นยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อ กลัวความผิดก็กลัว ไม่กล้าแจ้งขอความช่วยเหลือจากใคร รวมทั้งเสียเลือดมาก ไม่กล้าไปโรงพยาบาล ยอมรับเครียดมาก เพราะการใช้ชีวิตที่ผ่านมาตนเองกันแค่สองคนกับสามี จึงตัดสินใจนำร่างของลูกใส่ไว้ในตะกร้า แล้วปรึกษากันสองคนว่าจะทำอย่างไรต่อ จนกระทั่งตกลงกันว่าจะต้องนำลูกไปทิ้ง แต่ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า ยอมรับว่า ก่อนวันคลอดลูกประมาณ 3 วัน ตนเองและสามีได้ขับรถจักรยานยนต์ไปที่กระท่อมกลางไร่อ้อยที่มีเตาเผาถ่านของ น.ส.จุราวรรณ เพื่อนรุ่นพี่ ชาว อ.บ้านฝาง ซึ่งไปครั้งนั้นเป็นเพียงการไปหาไปเล่นด้วยเหมือนที่เคยไป ไม่ได้ไปวางแผนหรือดูสถานที่อำพรางลูกไว้ล่วงหน้า แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ลูกตายแล้ว วันที่ 16 ส.ค. จึงตกลงกันว่าจะเอาลูกไปเผาในเตาเผาถ่านดังกล่าว
น.ส.ปนัดดา เล่าอีกว่า ในช่วงตั้งครรภ์แรก ๆ ตนเองเคยไปสอบถามหมอเพื่อที่จะขอยุติการตั้งครรภ์ แต่บอกว่าให้เอาเด็กไว้ ตนเองก็คิดว่าถ้าอย่างนั้นก็เอาเด็กไว้ตามที่หมอแนะนำ แต่ก็คิดและปรึกษากับสามีมาตลอดว่า ถ้าลูกคลอดออกมาแล้วจะเลี้ยงดูอย่างไร ก่อนจะได้ข้อสรุปว่า ถ้าคลอดออกมาก็เลี้ยง แต่ยอมรับว่า เวลาที่มีปัญหาทะเลาะกับสามี ตนเองก็เคยพูดกับสามีว่า “ลูกมึง กูไม่เอา กูไม่เลี้ยง” ซึ่งเป็นคำพูดในช่วงที่มีปัญหากันเท่านั้น ในความรู้สึกตนเองเรื่องลูกในท้องก็คิดไม่ตกว่า อยากเอาเด็กไว้หรือไม่อยากมี แต่ช่วงที่ไปทำงานขณะตั้งท้อง ตนเองก็ดูแลตัวเองอย่างดี แต่เมื่อลูกจะคลอดออกมาก็เกิดความเครียดว่าจะเลี้ยงดูอย่างไร เพราะตนเองและสามีก็ไม่มีญาติพี่น้องที่จะช่วยเหลือ มีกันแค่สองคน ยอมรับว่า ตอนที่รู้ว่าลูกตายและหลังจากเอาลูกไปเผา ตนเองก็มานึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำไป คนที่รับรู้ก็จะพูดว่า ก่อนจะทำทำไมไม่คิด อยากบอกว่า
“คนเราไม่จน ทางมันตันแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร จะปรึกษาใคร และจะหาเลี้ยงดูอย่างไร ตนเองกับสามีก็หามื้อกินมื้อ มีกันแค่สองคน บางคนบอกว่า ทำไมไม่เอาลูกไปให้คนอื่นรับเลี้ยง สถานที่รับเลี้ยงเด็กก็มี ตนเองอยากบอกว่า เคยโทรปรึกษาแล้ว แต่หน่วยงานนั้นบอกว่า การที่จะยกบุตรให้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่ายกให้แล้วจะถูกรับไปเลยทันที วันคลอดลูกตนเองเครียดจนสติแตก วันนี้อยากบอกลูก บอกสังคมว่า ตนเองรู้ตัวดีว่าได้กระทำผิด ทำให้ลูกมาเกิดแล้วทำไมถึงไม่เลี้ยง ใครก็รักชีวิตตัวเองทั้งนั้น มันผิดพลาดไปแล้ว หากย้อนเวลาได้ก็อยากแก้ไข ไม่มีใครอยากให้เรื่องเป็นแบบนี้ เพราะสุดท้ายแล้วตนเองและสามีก็ไม่เหลือใคร บ้านก็ไม่มี ไม่รู้จะใช้ชีวิตเลี้ยงดูกันอย่างไร
ด้าน พ.ต.อ.กรภพ เนตรไธสง ผกก.สภ.บ้านฝาง กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ขณะที่ร้อยเวร เข้าตรวจสอบความเรียบร้อยในห้องขัง พบว่า แม่ของทารก ผู้ต้องหาคดีเผาทารกอำพราง ที่ถูกคุมขังในห้องขังโรงพักคืนแรกมีอาการเครียดหนัก ได้ใช้ปลอกหมอนฉีกทำเป็นเชือกเตรียมทำร้ายตัวเองในห้องขัง โชคดีตำรวจไปพบก่อนจึงระงับเหตุได้ทัน โดยหลังจากทำแผนเสร็จเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวผู้หาทั้งสองรายส่งฝากขังช่วงบ่ายวันนี้ โดยแจ้งข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา และ ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : แม่เผาอำพรางศพลูกให้การ ยันไม่ได้ฆ่า ตร.เผยเครียดหนัก ฉีกปลอกหมอนเตรียมทำร้ายตัวเอง โชคดีระงับเหตุได้
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th