ฮึ่ม!โต้กลับเขมร ลอบกัดซํ้าซากซุกบึ้มทหารไทยขาขาด
กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอีกแล้ว! “วินธัย” ชี้เป็นการคุกคามแบบซ่อนเร้น ซุกทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทำ “ส.อ.ธีรพล เพียขันที” ที่ลาดตระเวนปราสาทตาเมือนธมขาขาด ทัพบกและ มทภ.2 ประกาศเตรียมตอบโต้ เพราะไม่ต่างจากการยิงใส่กัน พิสูจน์แล้ว 3 ทุ่นระเบิด PMN-2 สภาพใหม่พร้อมใช้งาน อยู่ในเขตอธิปไตยไทย “กต.” แถลงประณาม ซัดเป็นเรื่องซ้ำซากที่เขมรทำต่อเนื่อง จี้นานาชาติและยูเอ็นขยับ แม่สิบเอกน้ำตานองหน้าเมื่อรู้ข่าว ส่วนลูกชายประกาศเดินตามรอยพ่อ “เศรษฐา” โผล่จี้ “มาริษ” เดินสายแจง อึ้ง! กัมพูชาฟ้องโลกว่าไทยไม่หยุดรุกราน มีการสร้างป้อมและขึงลวดหนาม
เมื่อวันอังคารที่ 12 สิงหาคม 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงสถานการณ์ชายแดนประจำวันว่า ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันจันทร์ที่ 11 ส.ค.2568 จนถึงเช้าวันวันอังคารที่ 12 ส.ค.2568 เหตุการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา 7 จังหวัด ไม่มีเหตุปะทะหรือความรุนแรงเกิดขึ้น กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตน โดยฝ่ายไทยยึดมั่นปฏิบัติตามข้อตกลงของการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ที่ผ่านมาอย่างเคร่งครัด และมุ่งมั่นรักษาความสงบเป็นสำคัญ
ต่อมา พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก แถลงว่า ในวันนี้เมื่อเวลาประมาณ 09.10 น. กองทัพบกได้รับรายงานว่า หน่วยทหารพรานร้อย ทพ.2610 ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสูญเสียขา 1 นาย ขณะนี้ได้ลำเลียงส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาแล้ว
รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 แจ้งว่า ได้เกิดเหตุทหารพราน 2610 เหยียบกับระเบิดขณะทำการลาดตระเวนบริเวณฐานจุบตะโมก ฝั่งตะวันตกของปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในแนวรั้วลวดหนามของฝั่งไทย บริเวณพิกัด R51 มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ทราบชื่อ ส.อ.ธีรพล เพียขันที ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายขาด โดยคาดว่าหลังจากเหตุปะทะกันทหารกัมพูชาได้ล่าถอยและได้ฝั่งทุนระเบิดไว้ก่อนออกนอกพื้นที่เขตประเทศไทย
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงว่า เมื่อวันที่ 12 ส.ค.2568 เวลาประมาณ 09.10 น. ส.อ.ธีรพล สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 พร้อมกำลังพลรวม 7 นาย ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย บนเส้นทางประจำห่างจากปราสาทตาเมือนธมประมาณ 1 กิโลเมตร ระหว่างปฏิบัติภารกิจ ส.อ.ธีรพลได้เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางไว้ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณข้อเท้าซ้าย ปัจจุบันได้รับการรักษาที่ รพ.พนมดงรัก อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว
พล.ต.วินธัยกล่าวต่อว่า เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และไม่เคารพต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งห้ามใช้และวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกชนิด นับเป็นการลอบโจมตีที่มีเป้าหมายต่อกำลังพลฝ่ายไทยโดยตรง และเกิดขึ้นในเขตแดนไทย ยิ่งไปกว่านั้น เหตุลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในพื้นที่ชายแดน สะท้อนถึงเจตนาร้ายและพฤติกรรมต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชาในการคุกคามฝ่ายไทย และละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนไทย สวนทางกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างประเทศในการประชุมจีบีซีที่ผ่านมา จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า การใช้อาวุธโดยฝั่งกัมพูชายังคงมีอยู่ตลอดเวลาในช่วงมีข้อตกลงหยุดยิง
ชี้คุกคามแบบซ่อนเร้น
“พฤติกรรมและการกระทำลักษณะเช่นนี้ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการในมาตรการหยุดยิงอย่างแน่นอน รวมถึงเป็นท่าทีที่ชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาต้องการจะคุกคามฝ่ายไทย ด้วยการใช้อาวุธทางทหารในรูปแบบซ่อนเร้นไม่เปิดเผย ทำให้เชื่อได้ว่ากัมพูชายังคงดำรงความมุ่งหมายที่จะทำร้ายฝ่ายไทยด้วยรูปแบบลอบทำร้ายอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่า ณ ช่วงเวลานี้จะอยู่ในช่วงการตกลงที่จะหยุดยิง ซึ่งต้องไม่มีการใช้อาวุธต่อกันในทุกรูปแบบ”
พล.ต.วินธัยกล่าวอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นยังสอดรับกันอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะจากการที่กัมพูชาไม่ยอมตอบรับข้อเสนอฝ่ายไทย ในเรื่องของทุ่นระเบิดจากการประชุมจีบีซีที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าเรื่องทุ่นระเบิดนี้น่าจะมีการวางแผนใช้กันมาอย่างเป็นระบบ เพื่อเจตนานำมาใช้คุกคามทำร้ายฝ่ายไทย ซึ่งที่ผ่านมากองทัพบกได้ยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด และไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่หากสถานการณ์บีบบังคับก็อาจจำเป็นต้องใช้สิทธิป้องกันตนเองภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ที่ทำให้ฝ่ายไทยต้องสูญเสียกำลังพลอย่างต่อเนื่อง จากการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและรุกล้ำอธิปไตยของทหารกัมพูชา
ต่อมา พล.ต.วินธัยแถลงอีกครั้งถึงเรื่องการใช้สิทธิป้องกันตัวเองว่า เมื่อฝ่ายไทยถูกกระทำก็ต้องมีแนวทางแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถลงรายละเอียดในเรื่องวิธีการได้ แต่มีหลายอย่างด้วยกันไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนการประท้วงการกระทำของฝ่ายกัมพูชาที่ละเมิดข้อตกลงและกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศจะทำคู่ขนานกับกองทัพโดยตลอดอยู่แล้ว
“การตอบโต้ด้วยการประท้วงของไทยไม่ได้ล่าช้ากว่าฝ่ายกัมพูชา และสิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวเนื้อหาว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ และเชื่อว่าในมุมมองต่างประเทศน่าจะมองออก และรู้รูปแบบการสื่อสารของฝั่งกัมพูชา ทั้งนี้ ข้อเสนอเรื่องของการแก้ไขปัญหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้มีการนำเข้าหารือในที่ประชุมจีบีซีครั้งล่าสุด แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้รับข้อเสนอเรื่องนี้ ดังนั้นเชื่อว่าทุกกลไกทวิภาคี รวมทั้งการประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชาระดับภูมิภาค (อาร์บีซี) ที่จะมีขึ้นในอีก 2 สัปดาห์ จะเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกนำเสนอในการประชุมอย่างแน่นอน” พล.ต.วินธัยระบุ
ด้าน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เหตุเกิดในจุดแนววางรั้วลวดหนามทางด้านทิศตะวันตก ถ้าหันหน้าเข้าเขมรจะอยู่ฝั่งขวาของตัวปราสาท และห่างจากตัวปราสาทประมาณ 1 กิโลเมตร เรียกว่าช่องจุบตะโมก สันนิษฐานว่าเขมรลักลอบมาวางกับระเบิดช่วงที่ถอนกำลังทหารออกไป ซึ่งวันนี้ทหารไปตรวจสอบแนววางลวดหนาม ซึ่งบริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตแดนไทยเป็นเส้นทางที่ใช้ลาดตระเวนประจำอยู่ในฝั่งไทยอยู่แล้ว
ชี้ชัดกัมพูชายั่วยุ
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นการยั่วยุ ผิดเงื่อนไขการหยุดยิง เพราะการวางทุ่นระเบิดถือเป็นการยิงเหมือนกัน เราจะมีมาตรการตอบโต้ และรายงานให้รัฐบาลรับทราบตามขั้นตอนแล้ว หลังจากนี้จะนำไปสู่ขั้นตอนการประท้วงในระดับสากล พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้ขอข้อมูลเร่งด่วนเพื่อทำการประท้วงฝ่ายเขมรต่อไป ซึ่งในการประชุมอาร์บีซีไทย-กัมพูชา ครั้งต่อไปจะนำเรื่องทุ่นระเบิดนี้ไปหารือ แต่เชื่อว่ากัมพูชาคงไม่ยอมรับเหมือนที่เขาพูดในจีบีซี เพราะเมื่อเขาปฏิบัติเรื่องนี้เขาก็ไม่พูดถึง” พล.ท.บุญสินกล่าว
เมื่อถามว่า กัมพูชาไม่ยอมร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดและทหารไทยเหยียบระเบิดแบบนี้ต่อไป พล.ท.บุญสินกล่าวว่า ถ้าเหตุการณ์สงบ เราก็ต้องให้ศูนย์เก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมเข้ามาเก็บกู้ แต่ถ้าไม่สงบ ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราต้องตอบโต้ด้วยกำลัง
ถามอีกว่า เราได้เจรจาหยุดยิงไปแล้วมีผลอะไรหรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องหน้างาน การเจรจาก็เจรจาไป เรามีสิทธิ์ปกป้อง และคุ้มครองกำลังพลของเราเช่นกัน ทางเราจะมีการปรับแผนในการลาดตระเวน เพื่อให้กำลังพลจะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงกับทุ่นระเบิดที่ทางเขมรได้วางไว้ ทางเราเพิ่มการใช้กล้องวงจรปิด และใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่เข้าทำการเคลียร์เส้นทางลาดตระเวนแทนการใช้บุคคล ในการควบคุมแต่ละพื้นที่ เป็นการป้องกันกำลังพล นอกจากนี้จะได้เพิ่มการเฝ้าตรวจในระยะไกลขึ้นมาอีกสเต็ป
เพจกองทัพภาคที่ 2 รายงานว่า จากเหตุการณ์ที่ ส.อ.ธีรพลประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิด PMN-2 ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น กองทัพภาคที่ 2 ได้ส่งหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดและพิสูจน์หลักฐาน ลงพื้นที่เกิดเหตุบริเวณฐานปฏิบัติการจุบตะโมก พื้นที่ปราสาทตาเหมือนธม เข้าไปเก็บหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อนำพิสูจน์ทราบ ล่าสุดผลการพิสูจน์ 100% เป็นทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติม 3 ทุ่น ซึ่งอยู่ในสภาพใหม่พร้อมใช้งาน ไม่ใช่ของเก่า และอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง การประท้วงต่อเหตุการณ์ครั้งที่ 4 ในการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ระบุว่า 1.ตามที่เมื่อวันที่ 12 ส.ค.2568 กำลังพลกองร้อยทหารพรานที่ 2610 รวม 7 นาย ทำการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องจุบตะโมก จ.สุรินทร์ ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากพฤติการณ์ที่ไม่สุจริตใจของฝ่ายกัมพูชา การกระทำดังกล่าวขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งขัดต่อหลักการพื้นฐานของกฎบัตรสหประชาชาติ และเป็นการละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน
กต.ลั่นพร้อมตอบโต้
2.เหตุการณ์ครั้งนี้ และเมื่อวันที่ 9 ส.ค.2568 สะท้อนความไม่จริงใจของกัมพูชา และเป็นการขัดต่อมาตรการหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ในการประชุมจีบีซีไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 ส.ค.2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ไทยจึงขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชายุติการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาฯ โดยทันที 3.ไทยจะประท้วงไปยังกัมพูชา และประธานอนุสัญญาฯ รวมถึงเลขาธิการยูเอ็น พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลือกัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด พิจารณาทบทวนการให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ ไทยจะพิจารณาดำเนินมาตรการอื่นๆ เพื่อตอบโต้กัมพูชาตามที่เห็นเหมาะสมต่อไป
และ 4.ไทยยืนยันความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ และผิดหวังอย่างยิ่งที่กัมพูชา ซึ่งเคยผ่านเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และแสดงตนเป็นผู้ยึดมั่นในพันธกรณีตามอนุสัญญาฯ กลับใช้ทุ่นระเบิดเพื่อสังหารมนุษย์ด้วยกันอย่างไร้มนุษยธรรม และขอเรียกร้องให้ประชาคมอาเซียน ซึ่งทำงานบนพื้นฐานของกฎกติกาสากล เรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างจริงจัง และให้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวของอาเซียนที่จัดตั้งขึ้นตามมติที่ประชุมจีบีซีพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนระหว่างการลงพื้นที่ในอนาคต ทั้งนี้ เพื่อให้พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนผู้บริสุทธิ์ของทั้งสองประเทศ
ทั้งนี้ ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดตั้งแต่เกิดเหตุปะทะกันนั้นมีทั้งสิ้น 5 นาย โดยเมื่อวันที่ 16 ก.ค.2568 ที่เนิน 481 ช่องบก จ.อุบลราชธานี 1 นาย, 23 ก.ค.2568 ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี 1 นาย, 28 ก.ค.2568 ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ 1 นาย, 9 ส.ค.2568 รอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา จ.ศรีสะเกษ 1 นาย และ 12 ส.ค.2568 ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ 1 นาย
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปที่บ้านเลขที่ 489 หมู่ 1 ต.สำโรงใหม่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นบ้านแม่ของ ส.อ.ธีรพล ซึ่งพบชาวบ้านมาให้กำลังใจนางสาคร เพียขันที อายุ 78 ปี แม่ของ ส.อ.ธีรพล เป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นเป็นหน่วยกู้ภัยฮุก 31 ได้เอาข้าวของมาให้กำลังใจด้วย โดยนางสาครได้ดูคลิปภาพขณะรถพยาบาลนำลูกชายไปส่งโรงพยาบาลอย่างใจจดใจจ่อด้วยความเป็นห่วงลูกว่าได้รับบาดเจ็บแค่ไหน จนกระทั่งทราบว่าขาซ้ายของลูกชายขาด เพราะไปเหยียบทุ่นระเบิดของฝั่งทหารกัมพูชาที่เอามาวางไว้
นางสาครเล่าว่า ลูกชายสมัครเป็นทหารพรานได้ประมาณ 23 ปี ทุกครั้งที่ลูกชายไปทำงานตามชายแดน หรือกลับจากชายแดนจะเข้ามากราบเท้าแม่แล้วเอาเท้าแม่เหยียบที่หัวทุกครั้ง นอกจากนั้นทุกครั้งเช่นเดียวกันลูกชายมักฉีกเอาชายผ้าถุงของแม่ติดตัวไปด้วย หลังจากมีคำสั่งให้เตรียมความพร้อมก่อนจะมีการรบกันลูกชายได้เก็บรถเก็บข้าวของแล้วเดินทางไปในวันที่ 23 ก.ค. และทุกวันลูกชายจะโทรศัพท์มาคุยกับแม่และครอบครัวทุกวัน ถึงแม้จะมีการหยุดยิงไปแล้วก็ตาม แต่ลูกชายก็จะโทร.มาเป็นประจำเหมือนที่เคยโทร. และล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ลูกชายได้โทร.มาว่าสบายดีไม่เป็นอะไรแล้วเพราะหยุดรบแล้ว ก็ดีใจว่าลูกปลอดภัยแล้ว แต่เพียงข้ามคืนกลับได้รับข่าวว่าลูกชายขาขาด
นางสาครเล่าทั้งน้ำตาว่า ยอมรับว่าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ดีใจที่ลูกชายได้รับใช้ชาติ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากนี้ทางบ้านก็จะดูแลลูกชายต่อไปถึงแม้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ขณะที่ นายธนาศักดิ์ เพียขันที อายุ 21 ปี ลูกชาย ส.อ.ธีรพล เล่าว่า เห็นพ่อเป็นทหารแล้วรู้สึกชอบ เป็นไอดอลของตัวเองเสมอ ปีนี้อายุครบ 21 ปี ซึ่งจะต้องถึงเวลาเกณฑ์ทหาร จะไปสมัครเป็นทหาร จะเข้าประจำการผลัด 2 ในเดือน พ.ย.นี้
เศรษฐาจี้มาริษเดินสาย
นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊กในเรื่องนี้ว่า ข้อตกลงระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ประเทศมาเลเซียอาทิตย์ที่แล้ว เข้าใจว่าหนึ่งในประเด็นที่ยังไม่มีการตกลงคือต้องให้ฝั่งกัมพูชากู้กับระเบิดที่วางใหม่ในช่วงที่มีปัญหา เรื่องนี้ต้องนำไปเจรจาใหม่ คนที่วางเท่านั้นที่จะรู้ว่าไปกู้ตรงไหน
“บทบาทประเทศไทยในเวทีโลกเรื่องความขัดแย้งกับกัมพูชาต้องมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผ่านการเดินสายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และผลกระทบระยะยาวที่จะเกิดขึ้นกับทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกับระเบิดที่วางโดยกัมพูชา ท่านต้องเดินสายครับ”
ด้านสำนักข่าวเฟรซนิวส์ สื่อกระบอกเสียงรัฐบาลกัมพูชา รายงานอ้างถ้อยแถลงของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาว่า นายปรัก สุคน รมว.กต.กัมพูชา ได้ส่งจดหมายถึงเลขาธิการยูเอ็น และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เกี่ยวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นภายหลังการหยุดยิงระหว่างกัมพูชากับไทย โดยกล่าวหาว่า กองทัพของไทยยังคงละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา รวมถึงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงทวิภาคีและเงื่อนไขของการหยุดยิงที่ตกลงกันไว้ พร้อมระบุว่า นับตั้งแต่การหยุดยิงมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา กองทัพของไทยได้รุกล้ำเข้ามาในดินแดนกัมพูชาหลายครั้ง โดยมีการวางลวดหนามอย่างผิดกฎหมายและก่อสร้างในหลายพื้นที่
ขณะที่โฆษก กต.อ้างอีกว่า กองกำลังของไทยได้รุกล้ำและยกระดับกิจกรรมในพื้นที่ จ.พระวิหาร อย่างผิดกฎหมาย ตั้งแต่การวางลวดหนามไปจนถึงการทำลายบ้านเรือนชาวกัมพูชา และใช้เครื่องจักรกลหนักสร้างป้อมปราการ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและกองกำลังทหารของไทยดำเนินการ 3 ข้อ คือ 1.ยุติการบุกรุก การยึดครองโดยผิดกฎหมายและกิจกรรมใดๆ ที่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาโดยทันที 2.ถอนกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ของไทยทั้งหมดไปยังตำแหน่งที่สอดคล้องกับเขตแดนที่กฎหมายกำหนดไว้ และ 3.ปฏิบัติตามพันธกรณีทวิภาคีและพันธกรณีระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทั้งหมดอย่างเต็มที่และไม่มีเงื่อนไข
“กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาได้ส่งหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทย แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อกรณีกองทัพไทยละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา” เฟรซนิวส์ระบุ
ขณะเดียวกัน พล.ท.บุญสินกล่าวในโอกาสวันแม่แห่งชาติว่า ขอขอบคุณ คุณแม่น้องๆ ทหารทุกนาย ที่เสียสละ อนุญาตให้บุตรชายของท่าน ไปทำหน้าที่เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน และเพื่อคนไทยทุกคน ขอให้คุณแม่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงตลอดไป โดยศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 ได้เผยแพร่คลิปข้อความพิเศษจากทหารชายแดนไทย-กัมพูชา ในวันแม่แห่งชาติ 11 ส.ค. ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ความรู้สึกของทหารที่มีต่อแม่
ทอ.ตอกย้ำความพร้อม
ส่วนเฟซบุ๊กเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force ได้โพสต์ภาพเครื่องบิน F-16 พร้อมแชร์บทความจาก Defense Info TH ระบุว่า F-16 to you!! / รักสงบ F-16 จบให้! แม้จะประจำการในกองทัพอากาศไทยมากว่า 37 ปี เครื่องบินรบแบบ F-16 A/B หรือ บข.19 นามเรียกขานตามแบบของกองทัพอากาศ ยังคงเป็นกำลังหลักในการปฏิบัติภารกิจคุ้มครองน่านฟ้าในปัจจุบัน ในฝูงบินรบหลัก คือ ฝูงบิน 103 และฝูงบิน 403
“ตลอดเวลาที่ผ่านเครื่องบินรบแบบ F-16 A/B ได้ปฏิบัติภารกิจการป้องปราม สกัดกั้นและภารกิจพิเศษมาโดยตลอด และในความขัดแย้งด้านพรมแดนกับประเทศกัมพูชา ที่เกิดขึ้นกินเวลา 5 วัน การรบในครั้งนี้ได้เป็นเวทีให้ F-16 A/B ได้แสดงแสนยานุภาพ ทั้งการครองอากาศ และการโจมตีสนับสนุนการรบภาคพื้นดิน ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สร้างจุดเปลี่ยนทางการรบด้วยการทำลายเป้าหมายทางการทหาร ได้อย่างหนักหน่วง และแม่นยำ สามารถทำลายขวัญและกำลังใจของข้าศึกได้อย่างเต็มรูปแบบ”
เพจ ทอ.ระบุอีกว่า ด้วยวิสัยทัศน์ในการจัดหาระบบอาวุธที่มีความทันสมัย และทำการปรับปรุงตามระยะห้วงเวลา พร้อมกับการฝึกฝนให้กำลังพลและนักบินมีความพร้อมในการปฏิบัติงานการรบทางอากาศมาอย่างต่อเนื่อง คือปัจจัยหลักของการมีส่วนร่วมในปฏิบัติการยุทธบดินทร์ที่สามารถปกป้องอธิปไตยของประเทศ ได้อย่างรุนแรงและเฉียบขาด ทำให้ชื่อของ F-16 ที่คนไทยได้รู้จัก และร่วมเป็นประจักษ์พยานในสมรรถนะและความสำเร็จของเครื่องบินรบแบบนี้ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่ากองทัพอากาศไทยมีขีดความสามารถในการรบได้อย่างเต็มรูปแบบ และพร้อมเผชิญหน้ากับภัยคุกคามรูปแบบต่างๆ ด้วยความเท่าทันในเทคโนโลยีการรบทางทางอากาศยุคใหม่ ในฐานะ The Unbeatable Air Force
“กองทัพอากาศขอยืนยันว่า การปฏิบัติการครั้งนี้ยึดถือการตอบโต้ตามหลักสากลที่ได้สัดส่วน คำนึงถึงมนุษยธรรม ตามกฎบัตรสหประชาชาติมาตราที่ 51 ในการป้องกันตนเอง”
สำหรับเรื่องการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การสู้รบนั้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง กล่าวถึงการขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเรื่องดังกล่าวว่า อยู่ระหว่างการหารือ โดยได้หารือนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย รักษาการนายกฯ ว่ากระบวนการต้องทำให้ครบถ้วนทั้งทางงบประมาณและแหล่งเงิน รวมไปถึงกองทุนเงินเยียวยาและกรมบัญชีกลางที่ต้องยกเว้นระเบียบบางข้อ ซึ่งต้องทำให้ครบถ้วนก่อนที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งนี้ อาจไม่ได้เร็วทันใจ แต่พยายามทำให้ทันสัปดาห์ต่อไป
เมื่อถามว่า วงเงินที่เหลือจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถเปลี่ยนแปลงนำมาช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบได้หรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า ทำได้ ส่วนจำเป็นหรือไม่ อาจจะยัง เพราะเรามีกลไกงบประมาณ และแหล่งเงินที่เพียงพอ อาจไม่จำเป็นต้องใช้เงินจากแหล่งนั้น
ส่วนนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการฟื้นฟูการค้าบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาว่า รอข้อมูล แต่ศูนย์ที่เราตั้งก็มีการปรึกษาเรื่องค้าชายแดน โดยผู้ประกอบการเองก็มีการปรับตัวเรื่องการขนส่งไปใช้ทางเรือและทาง สปป.ลาว
เมื่อถามถึงแนวโน้มฟื้นฟูตลาดยากหรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า วันนี้เน้นรักษาตลาดเดิมให้ได้ไว้ก่อน ขณะเดียวกันก็เร่งหาตลาดใหม่ให้กับผู้ประกอบการ
เสี่ยหนูสอน รมต.น้ำ
ขณะเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเบิกจ่ายงบประมาณในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาล่าช้า จนถูกย้ายออกจากพื้นที่ว่า หากมีงบประมาณ 100 ล้านบาท แต่เบิกเพียงได้ 55,000 บาท หากเป็นตนเองก็ทำเช่นเดียวกับนายภูมิธรรม หากมีการพิสูจน์ออกมาว่าเป็นแบบนั้น
เมื่อถามว่า กรณี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.หาดไทย (มท.2) โยนว่าคนแต่งตั้งผู้ว่าฯ อุบลราชธานีคือ มท.1 คนเก่านั้น นายอนุทินกล่าวว่า คนแต่งตั้งคือปลัด มท. ซึ่งตรงนี้พูดมั่วไปหน่อย และคนที่พูดเป็นถึง มท.2 แล้ว คงทราบเรื่องนี้ดี และตอนที่ตนดำรงตำแหน่ง ท่านก็เป็นถึง มท.4 ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการระดับซี 10 คือระดับอธิบดีหรือผู้ว่าฯ เป็นหน้าที่ปลัดกระทรวงที่จะเสนอให้ ครม.รับทราบ
“ไม่ควรต้องมาพูดกันแบบนี้ ถ้าคนที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการในชุดนี้หรือได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีในยุค มท.อ้วน ก็เป็นเด็กท่านหมดใช่หรือไม่ หรือมีคนไหนที่เป็นเด็กของ มท.2 ด้วยหรือไม่ ยืนยันว่าทุกอย่างผ่านมาด้วยความเห็นชอบของ ครม.” นายอนุทินกล่าว
ส่วนขณะนี้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาส่อแววว่าจะกลับมาปะทะกันอีกรอบ มีการกำชับ สส.ในพื้นที่จังหวัดชายแดนอย่างไร นายอนุทินเผยว่า พรรคมี สส.อยู่ในทุกจังหวัดที่ติดชายแดนไทย- กัมพูชา ซึ่งยืนยันว่าอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน และดูแลประชาชนอยู่ตลอดเวลา โดยไม่อยากจะคิดว่าเขาดูแลดีเกินไปหรือไม่ จึงไม่ได้ไปเบิกงบประมาณจากผู้ว่าฯ.