ทหารไทยจะไม่ทน – เขมรลอบกัดซ้ำ Vs มี “รัฐบาลอิ๊งค์” ไว้ทำไม?
สถานการณ์ “ศึกเขมร” ในระหว่างทางของ “โหมดการเจรจาหยุดยิง” ระหว่างกองทัพไทย-กับทหารเขมร ตั้งแต่ครั้งเจรจาหยุดยิง 28ก.ค.จนมาถึงการเจรจาในวงประชุม GBC 7 ส.ค.ที่จ่อรอประชุมระดับภูมิภาค RBC นับไปอีก 2 สัปดาห์ เพื่อจะมีการนัดประชุม GBC อีกครั้งในการสรุปการเจรจาระดับทวิภาคี
ปรากฏชัดเจนในหลักฐานการ “รุกราน” ของฝ่ายเขมรต่อไทย ผ่านการโจมตีด้วยการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารใหม่ ที่ส่งผลทำให้กำลังพลของกองทัพได้รับบาดเจ็บ”ขาขาด”ไปแล้วหลายราย
ผ่านรวม5ครั้ง ตั้งแต่หลังการหยุดยิงครั้งแรก 28ก.ค.กระทั่งมาถึงเหตุการณ์หลังวงประชุม GBC วันที่ 7ส.ค.ที่เพียง 2วันคือ วันที่ 9 ส.ค.ก็เกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาดที่ รอยต่อโดนอาว์ อ.กฤษณา จ.ศรีสะเกษ และตามมาด้วยเมื่อวาน 12ส.ค.
เหตุการณ์ผลกระทบต่อทหารไทยแบบต่อเนื่อง จากการกระทำของเขมรดังกล่าว นอกจากจะทำให้มี “สัญญาน”จากกองทัพที่ได้รับเสียงสะท้อนจาก “กำลังพลหน้างาน” ที่เริ่มบ่นดัง ว่า“ทนไม่ไหวแล้ว”จนกองทัพตั้งแต่ แม่ทัพภาคที่2”จนถึง “กองทัพบก”ต้องออกมาประกาศเมื่อวาน(12ส.ค.)กำลังพิจารณา การตอบโต้เขมรตามสิทธิการป้องกันตนเอง ที่ระบุใน กฎบัตรสหประชาติ ข้อ 51 ที่ให้รัฐสามารถปฏิบัติการป้องกันตนเองได้เมื่อถูกภัยคุกคาม จากประเทศใกล้เคียงแล้ว
ด้านหนึ่งเริ่มปรากฏสัญญานที่กำลังส่งผลกระทบกับ “ฝ่ายการเมือง” จาก “คำถาม” ที่เคยถูกถามต่อ “รัฐบาลอิ๊งค์” เมื่อครั้งเหตุการณ์ “คลิปเสียงฮุนเซน” ที่ทำให้ “นายกฯอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร” โดนคดีจริยธรรม จนถูก “ศาลรัฐธรรมนูญ” สั่ง พักงานรอการตัดสิน ท่ามกลางกระแสข่าว ”อิ๊งค์” อาจมีการ “ลาออก” ก่อนหากชัดเจนว่าศาลนัดตัดสินคดี
โดยครั้งนี้แม้จะมีภาพของ กระทรวงการต่างประเทศ ที่ออกมาแถลงการณ์ประณามเขมรแบบรัวๆทั้ง2เหตุการณ์ ตามหลังการออกมาของ กองทัพไทย รวมถึงการออกมาของ “มาริษ”รมว.ต่างประเทศ หรือ “ภูมิธรรม เวชชยชัย”รักษาการนายกฯ ที่นอกจากจะการชี้แจงดราม่าการลงพื้นที่ผู้อพยพ ที่เผลอไปออกหน้าแทนเรื่องเขมรไม่ตั้งใจยิงถล่มโรงพยาบาลไทย ยังเตรียมฟ้องสื่อที่กล่าวหาเข้าข้างกัมพูชา
ยังบอกว่าได้คุยกับกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เตรียมพร้อมที่จะยื่นฟ้องเขมรผิดอนุสัญญาออตตาวาอยู่แล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่า ความประสงค์ของกัมพูชาไม่ได้มีเจตนาที่จะให้เกิดสันติภาพ โดยออกตัวที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ไม่ดำเนินการ แต่อาจไม่ได้มีแจ้งกับประชาชนเพราะเป็นเรื่องที่เราต้องใช้ความระมัดระวัง
อย่างที่ “เสธแมว-พล.ท.พลาดร พัฒนถาบุตร”อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ที่ยอมรับว่า “อารมณ์ของคนไทยไปไกลทั่วประเทศแล้ว” กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากจะระบุถึง กฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 51 ว่าไทยมีสิทธิป้องกันตนเอง จากการรุกรานด้วยอาวุธ โดยทางการฑูตสามารถแจ้งไปที่เลขาUNได้ทันทีว่าเราจะใช้สิทธิ
ซึ่งทาง UN อาจส่งสัญญานขอให้ยุติการยิง แต่ถ้ายังไม่ฟังทาง UN จะแจ้งต่อไปที่ คณะกรรมาธิการความมั่นคง UNSC เพื่อรับรู้ว่ามีสถานการณ์นี้เกิดขึ้น ซึ่งการป้องกันตนเองตามข้อ 51 ต้องได้อย่างสัดส่วน สำคัญที่สุดคือฝ่ายการทูตฝ่ายนโยบาย จะต้องให้ข่าวเพื่อสื่อไปถึง UNSC หรือ อาเซียน ทูตอาเซียน หรือประเทศใหญ่ทั้งจีน ทั้ง สหรัฐ ในการทำในกรอบความชอบธรรมในรูปแบบนี้
โดย “เสธแมว” ยังประเมินว่าจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเข้าเงื่อนไขการปฏิบัติการป้องกันตนเองได้ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ที่มากกว่าทหารขาขาด ส่วนที่มีผู้สังเกตว่า “ฝ่ายนโยบาย”ตั้งแต่ รมต.กลาโหม ถึง รักษาการนายกฯที่เหมือนไม่เต็มที่นั้น อาจเป็นคำตอบตามโพลที่นิด้าทำล่าสุดที่รัฐบาลกระทรวงต่างประเทศได้ความไว้ใจ4-5% ซึ่งคนต้องการให้การแก้ปัญหาเป็น “ทีมเวิร์ค”
แต่ปัญหาทีมเวิร์กมาจากปัญหากรณี “คลิปเสียง”ซึ่งเป็น “ต้นตอ”แห่งความไม่ไว้วางใจ ประกอบกับท่วงทำนองของรัฐบาลที่ช้า จึงเป็นที่มาอย่างที่นิด้าโพลสำรวจ
ทั้งนี้ นิด้าโพลเมื่อวาน(12ส.ค.) มีการสรุปผลสำรวจความเห็นประชาชน ประเด็น “ปกป้องผลประโยชน์ชาติ” ในกรณีความขัดแย้งชายแดนไทย-เขมร ซึ่งผลโพลระบุ ประชาชนกว่า 75.73% "ไว้วางใจกองทัพ” และ “ค่อนข้างไว้วางใจ” อีก 19.31% ในขณะที่ รัฐบาลเพื่อไทย มีประชาชนเพียง 4.66% ที่ “ไว้วางใจมาก” และ “ค่อนข้างไว้วางใจ” 11.45% และ 54.58% ระบุว่า…ไม่ไว้วางใจรัฐบาลเลย” และ “ไม่ค่อยไว้วางใจ” 29.01%
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews