“ยูเอซี” ทุ่ม 200 ล้าน ลุยต่อยอดธุรกิจ RDF เฟส 2 อินโดนีเซีย
บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC ดำเนินธุรกิจนำเข้า ขายสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมนํ้ามัน โรงกลั่น ปิโตรเคมี และเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม พลังงานหมุนเวียน โดยได้วางแผนกลยุทธ์และวิสัยทัศน์องค์กรสู่ปี 2030 ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมสีเขียว ควบคู่ไปกับการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลและความยั่งยืน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคงในระยะยาว
ผ่านการดำเนินงาน 7 แกนหลัก ได้แก่
1.สร้างธุรกิจใหม่ (New Business) ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนและพัฒนาธุรกิจใหม่ที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ วัสดุขั้นสูงและนาโนเทคโนโลยี นวัตกรรมจากพืชและธรรมชาติ เคมีภัณฑ์สีเขียว และการสร้างระบบนิเวศธุรกิจสีเขียวอย่างครบวงจร
2.ขยายธุรกิจปิโตรเลียม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของรายได้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน
3.ต่อยอดสู่ความสำเร็จในพลังงานสะอาด โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อสร้างรายได้และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
4.รักษาการเติบโตอย่างยั่งยืนในธุรกิจการค้า
5. เพิ่มรายได้และผลตอบแทน เพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยบริษัทตั้งเป้าหมายทางการเงินที่จะมี EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) มากกว่า 20% ของรายได้ ภายในปี 2573 และการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอในอัตรามากกว่า 60% ของผลกำไรทางธุรกิจ
6.ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยคาร์บอนลง 20 % ภายในปี 2568 จากปีฐาน 2567 และมีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2573 และบรรลุปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์( (Net Zero) ภายในปี 2608
7.ยึดมั่นในค่านิยมด้านธรรมาภิบาลและสังคมที่ดี
นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยว่า ในการขับเคลื่อนเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โดยเฉพาะการขยายธุรกิจด้านพลังงานสะอาด บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนต่อเนื่อง
ล่าสุดอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโรงงานผลิต RDF3 ที่ประเทศอินโดนีเซีย หรือเป็นการต่อยอดระยะที่ 2 หลังจากที่โครงการโรงงานผลิต RDF3 ที่เมือง Sukabumi ประเทศอินโดนีเซีย ได้เปิดโรงงานผลิต RDF3 อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีบริษัท ถือหุ้นผ่าน PT CAHAYA YASA CIPTA (CYC) ผู้ผลิตเชื้อเพลิงขยะมูลฝอย (RDF3) ในสัดส่วน 60% และจำหน่ายให้กับโรงปูนซีเมนต์ PT Semen Jawa บริษัทในเครือ SCG ที่ตั้งอยู่ใกล้พื้นที่โครงการ
สำหรับโครงการโรงงานผลิต RDF ระยะที่ 2 นี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดหาพื้นที่ก่อสร้าง คาดว่าจะใช้เงินลงราว 200 ล้านบาท ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับระยะแรก ด้วยกำลังการผลิตที่ออกแบบไว้ 150 ตันต่อวันซึ่งจะช่วยกำจัดขยะได้ไม่น้อยกว่า 300 ตันต่อวัน หรือประมาณ 100,000 ตันต่อปี และทดแทนการใช้ถ่านหิน ช่วยลดคาร์บอนทั้งระบบได้ 30,000 ตันคาร์บอนต่อปี คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการในช่วงปี 2570
นอกจากนี้ จากที่บริษัท UAC Energy ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ UAC ถือหุ้นในสัดส่วน 50.01% บริษัท เวียงจันทน์บริหารขี้เหยื้อ จำกัด (Vientiane Waste Management Co., Ltd.) หรือ VWM เพื่อดำเนินโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตพลังงานทดแทนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์รีไซเคิล ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยได้รับสิทธิ์ในการจัดการขยะชุมชนจากนครหลวงเวียงจันทน์ 400 ตันต่อวัน
ในขณะที่โรงงานมีกำลังผลิต กำลังการผลิต 200 ตันต่อวัน ผลิตเชื้อเพลิงขยะอัดแท่ง (RDF3) เพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกทดแทนถ่านหินให้กับ บริษัท Khammouane Cement Co., Ltd. (KCL) ซึ่งเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ชั้นนำใน สปป.ลาว และเป็นบริษัทในเครือ SCG โดยมีปริมาณการซื้อขาย 15,000 ตันต่อปี ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ราว 20,000 ตันต่อปี
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดจากโครการดังกล่าว โดย VWM ได้รับสิทธิ์ในสัมปทานที่ดินและบ่อขยะ ในปีนี้จึงมีแผนที่จะพัฒนานำก๊าซชีวภาพจากบ่อขยะ มาผลิตเป็นไฟฟ้า โดยจะมีกำลังการผลิตประมาณ 6 เมกะวัตต์เพื่อขายให้กับหน่วยงานภาครัฐ โดยจะเป็นการทยอยลงทุน คาดว่าระยะแรกจะมีกำลังผลิตราว 1-2 เมกะวัตต์ จะใช้เงินลงทุนรว 40-50 ล้านบาท ก่อสร้างเสร็จและเปิดดำเนินการในช่วงปี 2569 หรือต้นปี 2570
รวมถึง มีโครงการการนำขยะพลาสติกที่ใช้แล้ว มาผลิตเป็นนํ้ามันดีเซล ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนในส่วนนี้อีกราว 30-40 ล้านบาท ในการพัฒนาระยะแรกจากการใช้วัตถุดิบราว 20 ตันต่อวัน
“การต่อยอดจากโครงการดังกล่าว ใน 2 ประเทศ ถือเป็นการขยายธุรกิจพลังงานสะอาดในระดับภูมิภาค สู่การต่อยอดทางธุรกิจในการดำเนินธุรกิจแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้การคำนึงถึงความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) ซึ่งเป็นหลักการในการวางรากฐานความยั่งยืนและเสริมสร้างความมั่นคงและผลตอบแทนให้กับบริษัทฯได้ในระยะยาว”