โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

พลังงานสะอาดขาดแคลน TDRI หวั่นลงทุนต่างชาติเผ่นหนี กระทุ้งเปิด TPA ซื้อขายไฟฟ้าเสรีรับมือ

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าไทยกำลังตกอยู่ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจระดับโลก ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด จากทั้งกลไกการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) การลงทุนสีเขียว และข้อกำหนดด้าน ESG ของบริษัทข้ามชาติชั้นนำขณะที่ภาคอุตสาหกรรมไทย กลับยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าสีเขียวได้อย่างเพียงพอ ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

เมื่อพิจารณาถึงเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดภายในปี 2573 ยังคงขาดความชัดเจนและแผนปฏิบัติการที่รวดเร็วทันการณ์ ไม่เพียงแต่ทำให้ประเทศไทยพลาดโอกาสในการเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่กำลังมองหาฐานการผลิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือ PDP ที่อยู่ระหว่างจัดทำและยังไม่มีความชัดเจนว่าจะประกาศใช้ได้เมื่อใด กำลังส่งผลให้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของไทยตกอยู่ในความเสี่ยงที่ประเทศจะสูญเสียความสามารถในการรักษามูลค่าทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

เนื่องจากไม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านพลังงานสะอาดของภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเร่งปรับตัวตามกระแส Net Zero ได้ทันท่วงที และยังส่งผลให้ไทยพลาดโอกาสการเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค และยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่กำลังมองหาฐานการผลิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การขาดแคลนพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้น จะส่งผลให้ไทยพลาดเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ที่กำหมดไว้ในปี 2593 และมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียการลงทุนจากลูกค้าต่างชาติเดิมที่เข้ามาลงทุนโดยตรง (FDI) โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ที่ส่วนใหญ่ต้องการพลังงานสะอาดในการดำเนินงานตามเป้าหมายของบริษัทแม่ไปสู่ Net Zero

จากข้อมูลของบีโอไอ ช่วงปี 2561-2567 ทั้ง 3 ประเทศนี้ มีมูลค่าการลงทุนอยู่ราว 1.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 50% ของเม็ดเงินลงทุน FDI สูงสุดจาก 4 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา มีมูลค่ารวมราว 2.15 ล้านล้านบาท

อีกทั้ง มีความเสี่ยงต่อการเสียลูกค้าใหม่ ในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (Next-Gen Automotive, Bio-Circular-Green (BCG) Economy, Digital, Services, Medical and Health) ที่มุ่งเปลี่ยนจากภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิมไปสู่อุตสาหกรรมแบบยั่งยืน โดยช่วงปี 2561-2566 บีโอไอได้ออกบัตรส่งเสริมฯ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 1.45 ล้านล้านบาท ซึ่งในสัดส่วน 48% หรือประมาณ 700,000 ล้านบาท มีเป้าหมายให้ได้มาซึ่งพลังงานสะอาดอย่างเพียงพอ

รวมถึงความเสี่ยงที่ไทยอาจไม่สามารถรักษาฐาน Data Center ขนาดใหญ่ไว้ได้ เนื่องจากไฟฟ้าสะอาดมีไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ Data Center ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสูงขึ้นถึง 9 เท่าภายในปี 2573 เทียบจากปี 2565 และไฟฟ้าที่ต้องการเป็นไฟฟ้าพลังงานสะอาดทั้งหมด โดยความต้องการใช้ไฟฟ้าของ Data Centers คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 0 เมกะวัตต์ในปี 2567 เป็นมากกว่า 5,400 เมกะวัตต์ ภายในปี 2579

ดังนั้น หากไทยไม่สามารถจัดหาพลังงานสะอาดหรือไฟฟ้าสีเขียวได้อย่างเพียงพอ หรือมีความล่าช้าไม่ทันต่อความต้องการเร่งด่วนของบริษัทข้ามชาติ จะส่งผลให้นักลงทุนดังกล่าว หันไปมองหรือย้ายฐานการลงทุนไปประเทศอื่นที่มีความชัดเจนในการจัดหาพลังงานสะอาดป้อนต่อความต้องการได้

ดร.อารีพร กล่าวอีกว่า ทางออกของเรื่องนี้ มีความจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องเร่งเปิดเสรีระบบโครงข่ายไฟฟ้าด้วยกลไก (Third-Party Access : TPA) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในตลาดการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด ภาคอุตสาหกรรมสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตที่ตอบสนองความต้องการด้านพลังงานสะอาดและต้นทุนได้โดยตรง แทนที่จะผูกขาดกับการไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว

โดยเฉพาะการเร่งดำเนินงาน เพื่อรองรับให้กับภาคส่งออกของไทย ที่กำลังเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้าที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ในเวทีโลก อย่างมาตรการ CBAM ที่สหภาพยุโรปนำมาใช้ รวมไปถึงสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียเริ่มมีการประกาศใช้มาตรการ CBAM กับเหล็ก อะลูมิเนียม และเซรามิก เช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่มาตรการเหล่านี้จะขยายวงกว้างและครอบคลุมสินค้ามากขึ้นในอนาคต

“ทางภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าสีเขียว( UGT) แล้วก็ตาม แต่ค่าไฟฟ้าจะมีราคาสูงกว่าค่าไฟฟ้าปกติ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสูงขึ้น หากไม่เร่งเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี เพื่อเร่งผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กับภาคส่งออก ประเทศไทยจะเสี่ยงเสียโอกาสการลงทุนในสินค้าส่งออกที่เป็นรายได้หลักของประเทศ”

ปัจจุบันแม้ว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะมีความพยายามในการจัดทำร่างหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำข้อกำหนดการเปิดให้ใช้หรือเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (TPA Framework Guideline) มาอย่างต่อเนื่อง แต่การดำเนินการยังคงความล่าช้าและขาดความชัดเจนในเชิงปฏิบัติ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายด้านพลังงานสะอาด

นอกจากนี้ ภาครัฐควรจะเร่งพิจารณาขยายการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตกับผู้ใช้รายใหญ่ (Direct PPA) ให้กับภาคอุตสาหกรรมอื่น ไม่จำกัดเฉพาะ Data Center และปรับเกณฑ์ไฟฟ้าสีเขียว(UGT2) ให้ราคามีความยืดหยุ่นและเป็นที่ยอมรับในตลาดสากล เพื่อรองรับการส่งออกและแข่งขันกับนานาประเทศ สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และไม่ให้เป็นภาระต้นทุนต่อผู้ส่งออก

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

ผลประชุม นบข.อนุมัติเงินเยียวยาไร่ละ 1000 เช็กวิธีตรวจสอบสถานะ

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘วิน พรหมแพทย์’ จากครูดอย สู่แม่ทัพ KAsset ภารกิจปั้นพอร์ต 2 ล้านล้าน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่นๆ

ฝนถล่มเหนือ–อีสาน–ตะวันออก–ใต้ฝั่งตะวันตก เสี่ยงน้ำหลาก–ดินถล่ม

The Better

หนุ่มแกร็บฟู้ด ขี่จยย.พุ่งเสยท้าย10ล้อ จอดยางแตกข้างทาง ดับสลด

Khaosod

พยากรณ์อากาศวันนี้ 14 สิงหาคม 2568 เฝ้าระวัง 7 จว. “ฝนตกหนัก” เสี่ยงน้ำท่วม

TNN ช่อง16
วิดีโอ

แม่ทัพภาค 2 สั่งใช้เครื่องจักรตรวจทุ่นระเบิดลดการสูญเสีย

Thai PBS

ปูติน ต่อสายพูดคุยกับ เกาหลีเหนือ กระชับความสัมพันธ์ ก่อนคุยกับทรัมป์

JS100

ประกาศแล้ว เปิดรายชื่อ 7 จังหวัด ฝนถล่มหนัก ระวังน้ำท่วมฉับพลัน

สยามนิวส์

ประชาชน เทียบด้อยกว่าผู้นำรุ่นใหม่เพื่อนบ้าน ถามกลับพรรคแกนนำรัฐบาลมีแค่นี้จริงหรือ

TOJO NEWS

‘กรมอุุตุฯ’ เตือน 7 จังหวัด ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ‘กทม.’ มีฝนฟ้าคะนอง 60% ของพื้นที่

เดลินิวส์

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...