‘วิน พรหมแพทย์’ จากครูดอย สู่แม่ทัพ KAsset ภารกิจปั้นพอร์ต 2 ล้านล้าน
เกือบ 1 ปี ของการเข้ารับตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัดของนายวิน พรหมแพทย์ ได้สร้างผลงานที่โดนเด่น ท่ามกลางความซบเซาของอุตสาหกรรมกองทุนรวม โดยสามารถดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่ได้ถึง 8 หมื่นล้านบาทหรือกว่าครึ่งหนึ่งของอุตสาหกรรมที่ 1.5 แสนล้านบาท ส่งให้ผลการดำเนินงานของบลจ.กสิกรไทยในครึ่งแรกปี 2568 เติบโตถึง 7% มากกว่าตลาดรวมที่เติบเพียง 1% เท่านั้น
อะไรคือความสำเร็จ นายวินเล่าว่า เป็นการทำงานร่วมกับธนาคาร กสิกรไทย ซึ่งมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งมาก ร่วมกันแนะนำการลงทุนให้กับลูกค้าได้อย่างเหมาะสมตั้งแต่ต้นปี ทั้งการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้และกองทุนผสม ซึ่งถือว่า ถูกที่ถูกเวลา
หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตนี้คือ การจัดพอร์ตลงทุนแบบ Core & Satellite Portfolio ซึ่งก่อนหน้านี้เน้นสื่อสารกับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ให้ส่งต่อไปยังกลุ่มลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคลอย่างเต็มรูปแบบ
“ครึ่งปีขนาดสินทรัพย์ของเราปิดที่ 1.7 ล้านล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังยังประเมินได้ยากจากความไม่แน่นอนของตลาด แต่ยังคงเป้าหมายเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) เติบโตทะยานสู่ระดับ 2 ล้านล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า”
เบื้องหลังความสำเร็จของ“วิน พรหมแพทย์” ผู้มีประสบการณ์ในโลกการเงินกว่า 22 ปี ที่ไม่ได้เริ่มต้นเส้นทางจากห้องค้าหลักทรัพย์เหมือนหลายๆคน แต่เริ่มต้นจากการเป็น “ครูอาสา” บนดอยสูงที่บ่มเพาะให้เข้าใจสังคมและความเป็นอยู่ของผู้คนอย่างลึกซึ้ง
นายวินเล่าวว่า ตอนเรียนจบ ผมเพิ่งรู้ว่า ธรรมศาสตร์มีโครงการ ‘บัณฑิตอาสาสมัคร’ ของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ท่านตั้งใจให้เด็กจบใหม่ได้ไปเรียนรู้ชีวิตในชนบท ผมเลยสมัครและได้มีโอกาสไปเป็นครูอาสาสมัครอยู่คนเดียวที่หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง จ.ลำปาง เป็นคนแรกและคนเดียวของหลักสูตรอินเตอร์ที่ไปโครงการนี้
“เป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำนา เพราะพ่อแม่เป็นนายธนาคารทั้งคู่ แต่พอไปอยู่กับชาวบ้าน เขาเก็บเกี่ยวข้าวก็ต้องช่วย ทำให้รู้ว่า การเกี่ยวข้าวบนดอยยากมาก เพราะข้าวที่อยู่บนที่สูงชัน ต้นมันจะเตี้ยและราบไปกับพื้น ต้องก้มเยอะ ต้องเอาเคียวล้วงขึ้นมาเกี่ยว กว่าจะได้แต่ละช่อมันเหนื่อยมากและต้องปีนเขาขึ้นไปด้วย มันทำให้เราเข้าใจเลยว่า กว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ดมันลำบากแค่ไหน”
เจตนารมณ์ของอาจารย์ป๋วยคือ ให้คนจบการศึกษา ซึ่งถือเป็นปัญญาชนในยุคนั้น ได้ไปเรียนรู้ว่า ชนบทคืออะไร เวลาคุณโตไปเป็นผู้บริหาร ไม่ว่าจะภาครัฐหรือเอกชน คุณจะได้มีมุมนี้อยู่ในใจว่า คนรากหญ้าเขาอยู่กันอย่างไร ประสบการณ์ตรงนั้นทำให้ผมกลายเป็นคนที่ใส่ใจในความเป็นอยู่ของผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้
ความใส่ใจผู้คนได้นำพาเขาไปสู่การทำงานที่สำนักงานประกันสังคม(สปส.) หลังจบปริญญาโทจากเนเธอร์แลนด์ด้วยทุนก.พ. เขาทุ่มเททำงานที่นี่นานถึง 13 ปี จากนักวิเคราะห์ตัวเล็กๆ จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าส่วนจัดการลงทุน และเป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญที่บริหารกองทุนให้เติบโตจาก 1 แสนล้านบาท สู่ 1.3 ล้านล้านบาท
“ช่วงที่อยู่บนดอย ก็พอดีราชการเขาเปิดรับสมัครทุนก.พ.หลังจากปิดไปพักหนึ่งช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ผมก็ลงจากดอยมาสมัคร ซึ่งเป็นทุนของสำนักงานประกันสังคม จบมาก็มาทำงานที่นั่นใช้ทุน ที่จริงเรียนปีครึ่งทำงานแค่ 3 ปีก็พอแต่ก็อยู่ถึง 13 ปี แม้จะเคยตั้งใจฝากชีวิตการทำงานไว้ที่ประกันสังคมจนเกษียณ แต่ก็มาเจอกับจุดเปลี่ยนของชีวิต”
จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดจากไม่สามารถผลักดันการปฏิรูปสำนักงานประกันสังคมได้สำเร็จใน 3 เรื่อง
- การแยกหน่วยลงทุนออกมาเป็นอิสระ: “ผมรู้สึกว่าเราลงทุนเงินขนาดนี้ แข่งกับคนทั่วโลก แต่หน่วยงานไปอยู่กับระบบราชการ เงินเดือนน้อย คนน้อย อุปกรณ์ไม่พร้อม มันสู้เขาลำบาก จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน”
- การปฏิรูปบำนาญ: “ตอนออกแบบประกันสังคม คนไทยยังไม่แก่ การจ่ายบำนาญยังไม่เกิดขึ้น คนออกแบบตั้งใจว่าวันหนึ่งต้องมีคนมาแก้ไข แต่จนวันนี้ก็ยังไม่ได้แก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งที่คนแก่เยอะขึ้น แรงงานในระบบน้อยลง ถ้าถึงวันที่เงินไม่พอจ่ายก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
- การลงทุนในต่างประเทศ: ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเดียวที่เริ่มมีการปรับเปลี่ยนและขยายเพดานการลงทุนเพิ่มขึ้น
“ผมพยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลงอยู่ 3 เรื่อง แต่ไม่สำเร็จจึงตัดสินใจออกมา ซึ่งวันนี้บางเรื่องก็ยังไม่เปลี่ยน” คุณวินกล่าวถึงภารกิจที่ยังค้างคาใจ
ประสบการณ์บนดอยยังทำให้ “วิน พรหมแพทย์” เริ่มชอบการเป็นครู แม้จะทำงานประจำที่ประกันสังคม แต่ยังสอนหนังสือที่ธรรมศาสตร์มากว่า 10 ปี เหมือนกับการถ่ายทอดความรู้ และช่วยเหลือผู้คน ล่าสุดยังให้ทุนการศึกษาส่วนตัวกับเด็กๆ ในจังหวัดอ่างทอง ผ่านโครงการ “ต้นกล้า” ซึ่งเป็นหลักสูตรพิเศษที่เรียนเรื่อง เทคโนโลยี AI DATA เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของเยาวชนและเปิดโอกาสในการเรียนรู้ในด้านเทคโนโลยีและข้อมูลในยุคดิจิทัล
นายวินกล่าวทิ้งท้ายว่า การสนับสนุนเทคโนโลยี ยังสร้างโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้พัฒนาชนบทอีกด้วย อย่างการลงพื้นที่ดูการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ ที่อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี มีการเทคโนโลยีต่างๆเข้ามา ทั้งการใช้สัญญาณดาวเทียมของ GISDA เพื่อดูพื้นที่นาแต่ละแปลง และมีการใช้โดรนหว่านเมล็ดพันธ์ุ ในอนาคตก็สามารถทำให้เด็กรุ่นใหม่กลับบ้านเกิด ด้วยการรับจ้างบินโดรนก็ได้
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investing) อันดับ 1 ของไทย ภายใต้แนวคิด “Insight to Impact" มุ่งเน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าหมาย Net Zero Target ในส่วนของ Scope 1 และ 2 ภายในปี 2030
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,122 วันที่ 14 - 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568