ปัจจัยรุม “ลักชัวรีแบรนด์” ส่อเค้าหดตัวเหลือ 1.8 แสนล้าน
ตลาดลักชัวรีแบรนด์ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ สัญญาณนี้เกิดจากปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งกำลังซื้อในประเทศที่หดตัว การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่เต็มที่ คาดการณ์ว่าปี 2568 มูลค่าตลาดแบรนด์เนมรวมกว่า 2 แสนล้านบาท จะปรับลดลงไปอยู่ที่ 1.8-1.9 แสนล้านบาท
ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทผู้นำเข้าสินค้าแฟชั่นลักชัวรีแบรนด์จากยุโรป เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ในช่วงครึ่งปีแรก 2568 สะท้อนภาพรวมตลาดที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก กำลังซื้อของคนไทย ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายในพื้นที่ชานเมืองและร้านค้าแฟชั่นทั่วไป สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าตลาดลักชัวรีแบรนด์โดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งมาจาก 2 ส่วนหลัก คือ กำลังซื้อของคนไทยที่ลดลง และ กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมา
“ตลาดโดยรวมตอนนี้ลดลงมาก โดยเฉพาะตลาดโลคัล คนไทยกำลังซื้อลดลงอย่างแน่นอน ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ชานเมืองและร้านค้าแฟชั่นทั่วไป ทุกคนประหยัดมากขึ้น เพราะเจอภาวะเศรษฐกิจไม่ดี”
สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยว แม้จะเดินทางเข้ามาในประเทศมากขึ้น แต่กำลังซื้อของกลุ่มที่นิยมสินค้าลักชัวรีแบรนด์กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการที่ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาในระดับที่เคยเป็นก่อนการระบาดของโควิด-19 โดยนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่มีกำลังซื้อสูงในตลาดลักชัวรีของไทย สิ่งหนึ่งเห็นได้จากกรณีการปิดสาขาของคิง เพาเวอร์ บางส่วน ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่เชื่อมโยงกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง
“ตลาดลักชัวรีปีนี้ชะลอตัวลงอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งปัจจัยด้านนักท่องเที่ยวและกำลังซื้อภายในประเทศที่หดตัว ทำให้มูลค่าตลาดจะลดลงเหลือ 1.8 - 1.9 แสนล้านบาท นอกเหนือจากปัจจัยภายในประเทศแล้ว เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงจากประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้า ยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ซ้ำเติมสถานการณ์
“ปัจจัยภายนอกอย่างความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ซ้ำเติมสถานการณ์ ทั้งจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า เช่น “ภาษีทรัมป์” และเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ชะลอตัวลง ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก”
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาวะตลาดที่ซบเซา ยังคงมีความแตกต่างในแต่ละกลุ่มสินค้า โดย ตลาด Ultra-Luxury ที่เน้นสินค้าหายากและมีราคาสูงมาก เช่น นาฬิกา Patek Philippe หรือกระเป๋า Hermes ยังคงไปได้ดี เนื่องจากกลุ่มลูกค้า Top 1% ยังคงมีกำลังซื้อและไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก ในทางกลับกัน สินค้าลักชัวรีแบรนด์ในกลุ่ม Mass Luxury เริ่มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน เนื่องจากผู้บริโภคมีภาระหนี้สินและการผ่อนจ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องคิดหนักขึ้นก่อนจะตัดสินใจซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย
ผู้บริหาร กล่าวสรุปว่า การฟื้นตัวของตลาดลักชัวรีแบรนด์ของไทยยังเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลก การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน และความสามารถของภาครัฐในการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญในระยะอันใกล้นี้
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,122 วันที่ 14 - 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568